Posted in Uncategorized

[MIS Mission]-(7) Christopher Blank

Moscownight

.

 เอนทรี่นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้
mis-logo250

.

.

.

.

คุณหมาป่าจอมตะกละ

01.

.

พบลูกแมวเหมียว

02

.

.

เหมียว เหมียว เหมียว

คุณหมาป่าชอบกินลูกแมวเหมียว

03

.

.

โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง

คุณหมาป่าพบเจ้าลูกหมา

ชอบ ชอบ ชอบ…คุณหมาป่าชอบกินเจ้าลูกหมา

04

.

.

โฮก โฮก โฮก

คุณหมาป่าพบคุณเสือ

ชอบ ชอบ ชอบ…คุณหมาป่าชอบกินลูกเสือ

05

.

.

คุณหมาป่าพบกระต่าย

06

.

.

ชอบ ชอบ ชอบ…คุณหมาป่าชอบคุณกระต่าย

07

.

.
คุณหมาป่าอยากเป็นกระต่าย

08

.

.
จะได้อยู่ อยู่กับคุณกระต่าย

09

.

.

คุณกระต่ายบอกว่าจะอยู่ด้วย จะอยู่ด้วยกัน

.

มีความสุข

.

มีความสุขทุกๆวัน…

.

10

.

.

หมาป่าเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ทำให้มีความสุขกว่าท้องอิ่ม

.

นั่นคือการที่ได้อยู่ในรังอันอบอุ่น

.

ดังนั้นไม่ว่าจะหน้าร้อน หน้าหนาว

.

ฝนตก แดดออก

.

คุณหมาป่าก็ไม่เคยคิดจะออกไปจากที่นี่อีกเลย

.

.

.

.

และหากว่านี่เป็นตอนจบของนิทานได้ก็คงจะดี…

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

11

.

“นายเห็นรังกระต่ายแถวนี้บ้างไหม” จิ้งจอกหนุ่มเอ่ยถาม

.

“ฉันเห็นเจ้ากระต่ายนั่นอยู่กับนังเหมียวที่ฉันรู้จักเมื่อวันก่อน”

.

“เนื้อกระต่ายมันคงหวานอร่อยมากสินะนายถึงไม่ยอมบอก”

.

“นายรู้ว่าฉันเป็นสัตว์ล่าเนื้อ เดี๋ยวก็ตามกลิ่นไปจนเจอ”

.

“นายรู้ใช่ไหม…นายนั่นแหละที่รู้ดีที่สุด…”

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

คุณหมาป่าอยากเป็นกระต่าย

ทว่าหูของมันทั้งตั้งทั้งแหลม

ทั้งหางและปากก็ยื่นยาว

คมเขี้ยวที่ฝังรากลึกอยู่ในปาก

คอยย้ำเตือนเรื่อยมาว่าเจ้านั้นเป็นสัตว์ล่าเนื้อ

สัตว์ล่าเนื้อต้องกินเนื้อ

ไม่มีอะไรที่เหมือนคุณกระต่ายเลยสักนิดเดียว

.

.

.

ในตอนจบของนิทาน คุณกระต่ายลอยลิ่วขึ้นฟ้า
และอยู่อาศัยบนดวงจันทร์ที่มีแสงเรืองรอง

ส่วนหมาป่าตัวร้ายถูกนายพรานผ่าท้อง
นอนจมกองเลือดอยู่ในบ้านของมนุษย์แปลกหน้า

ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้มองเห็นดวงจันทร์เป็นครั้งสุดท้าย…

.

.

.

…ดังนั้นนี่จะต้องไม่ใช่ตอนจบ

มันต้องไม่จบแบบนี้

.

คุณหมาป่าลวงเจ้าจิ้งจอกเข้าถ้ำ

ตลบหลังด้วยกลอุบาย

จิ้งจอกไล่ขย้ำในความมืด

หมาป่าใช้ท่อนไม้ลอบทุบตี

จิ้งจอกเขี้ยวหักสู้ขาดใจ

แต่หมาป่าฝังคมเขี้ยวครั้งสุดท้ายที่ลำคอ

ในที่สุดเจ้าจิ้งจอกสิ้นฤทธิ์

ในถ้ำมืดมิดที่ไม่มีใครเลยได้รู้เห็น

.

.

MIS72

.

ชอบ ชอบ ชอบ…คุณหมาป่าชอบกินจิ้งจอก

พวกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ชอบลอบมองดวงจันทร์

เขาจะกระชากหัวมัน…คว้าใส่ปาก

.

View original post 15 more words

Posted in Writing

#WZD Déjà vu

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของpasted image 0.png

 

Pairing: Vasilios Argyris/Sylem Dagile

Rating: PG

 

 

 

_

 

 

Déjà vu

 

ความรู้สึกที่เหมือนเคยเจอคู่ชีวิตก่อน ‘พบกันครั้งแรก’ อาจจะมีจริงก็ได้

 

ราวกับว่า ได้เจอไซเลมเมื่อสมัยเด็ก ๆ  แต่อย่างมากที่สุดก็คงเป็นเพียงครั้งเดียวในวันที่แสนสั้น เขาไม่น่าจะทำอะไรเป็นแก่นสารในวันนั้น ตอนนั้นพ่อก็คงสอนให้เขา ‘ล่าหากิน’ ได้แล้ว แต่ตามประสาเด็กเขาก็คงจะเล่นจนลืมหิว

 

เขาผงกหัวขึ้นจากหมอน มองปีกเล็ก ๆ ที่คอของคนผมทอง

 

ไม่กล้าถาม

 

ได้แต่ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดคอ เขาคงเหม่อคิดจนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วเอาความทรงจำเก่า ๆ มาปะปนกันแน่ ๆ  แต่ถ้าลองคิดเล่น ๆ สมมุติไซเลมเจอตัวเขาตอนเด็กจริง ไซเลมก็อาจจะอายุประมาณยี่สิบกลาง ๆ? ยิ่งคิดดูก็ยิ่งเป็นไปได้ แต่เขาคงไม่ถามอยู่ดี… เพราะถึงจะเป็นแบบนั้น ก็คงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้พวกเขาได้รู้จักกันใกล้ชิดในตอนนั้น

 

สมัยเด็กเขามีโอกาสได้คุยกับผู้ใหญ่บ่อย ๆ  อาจจะบ่อยกว่าคุยกับเด็กด้วยกันเอง การเอาตัวรอดตามแบบเผ่าพันธุ์ตัวเองนั้น… มาคิด ๆ ดูก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ได้เหงาด้วยซ้ำ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอะไร ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีอะไรให้จดจำเป็นพิเศษขนาดนั้นเหมือนกัน โลกมีอะไรให้ทำมากมาย แต่ส่วนใหญ่องค์ประกอบในชีวิตเขาก็คือทำในสิ่งที่คนอื่นอยากให้ทำ ทำให้คนอื่นมีความพึงใจก็พอ ถึงอย่างนั้นด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็พยายามใช้ชีวิต ต่อสู้เพื่อใช้ชีวิต แม้จะทำเพียงเพื่อความปรารถนาของผู้อื่น บางทีเขาอาจจะหวังว่าลึก ๆ แล้วเขาเองก็มีความสุขไปกับชีวิตแบบนั้นเช่นกัน

 

มันอาจจะเปลี่ยนตอนที่เขาได้ลองสู้เมื่อเริ่มชอบไซเลม ความจริงก็สู้ด้วยหัวใจที่เหมือนอกหักไปเกินครึ่งแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่ได้คิดว่าไซเลมจะเลือกเขา หรือเขาจะมีความหมายอะไรในระยะยาวนัก ต่อให้ไม่ได้เป็นคนรักเขาก็อยากจะพยายามเพื่อให้ได้มีคนคนนี้อยู่ในชีวิต

 

ที่ไซเลมเคยบอกเขาประมาณว่า เขาชอบพูดเหมือนตัวเองไม่ได้มีอะไรพิเศษ พอย้อนคิดดูตอนนี้ก็ได้แต่ยิ้มออกมา สำหรับเขาแล้วออกจะเป็นเรื่องปกติที่จะคิดแบบนั้น ในเมื่อพอนึกย้อนดูก็ไม่มีเรื่องเจ๋ง ๆ ในอดีตมาเล่าให้ฟังเท่าไร เพราะเขาจำอะไรไม่ค่อยได้ก็ส่วนหนึ่ง ไม่ได้มีวิถีชีวิตที่น่าอวดอะไร และในส่วนที่พิเศษ ก็มีแต่จะตอกย้ำมากกว่าว่าเขามันแกะดำ

 

ตอนสงครามเริ่มต้นใหม่ ๆ  เขาผ่อนคลายไม่ได้เลย เพราะถึงแม้จะมีพลัง แต่ก็เหมือนจะไม่มากพอที่จะช่วยไซเลมได้

 

แต่ตอนนี้…

 

วาซิลิออสเลื่อนมือไปเล่นกับปอยผมทอง เขาเองรู้สึกได้ถึง ‘พร’ ที่ได้รับมาจากคุณมังกร อีกทั้งยังเวทมนตร์ที่ไซเลมเชื่อใจให้เขาเป็นคนคอยควบคุมไซเลมให้อยู่ในพื้นที่จำกัดได้อีีก แต่เพราะ… มีแต่ได้รับของขวัญมากมาย จึงอยากใช้พลังนี้ปกป้องไซเลมได้ ทั้งที่กดดันแต่ก็มีความหวัง

 

แล้วตอนนี้ก็เริ่มมีความทรงจำพิเศษให้พูดถึงกันแล้วด้วย เขาเอง… เมื่อก่อนเคยคิดว่าถึงตายไปก็คงไม่เสียดายสักเท่าไร แต่ตอนนี้… ยังมีเรื่องอยากทำที่ยังไม่ได้ทำนี่นา

 

วาซิลิออสเพียงแต่ขยับเข้าไปเอาจมูกซุกเส้นผมอีกฝ่าย “พี่เลม… รู้ไหม…” เขาเอ่ยเสียงเบา ราวกับไม่ได้หวังให้ไซเลมตื่นเป็นพิเศษ “บางทีก็อย่างกับว่า เคยเจอพี่มาก่อน”

 

 

 

The End.

Posted in Writing

[PBI] เปิดใจ

Entry นึ้เป็นส่วนหนึ่งของ PBI Community

Pairing: Knightley/Quatair

Rating: PG

_

 

 

 

เปิดใจ

 

ก่อนหน้านี้ ไนท์ลีย์ก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับควอแตร์มากเท่าไร บางครั้งเขาก็คิดว่าเขาไม่ใช่คนที่คุยกับควอแตร์บ่อยที่สุดด้วย อีกทั้งที่ผ่านมาก็เหมือนจะไม่ค่อยได้คุยอะไรที่ทำให้ค้นหากันและกันได้มากสักเท่าไร ทั้งแบบนั้นแล้ว เขาก็ยังอยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเธอ และอยากให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา บางครั้งก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปได้ ทั้งที่ปกติเขาก็เป็นคนตั้งเงื่อนไขมากมายทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะควอแตร์เป็นคนที่เขายังหาเงื่อนไขที่เธอมีให้เขาไม่ค่อยพบสักที—เขาแน่ใจว่าเธอมี แวร์วูฟทุกคนมีเรื่องขอบเขตมาเกี่ยวข้องเสมอ แต่ยิ่งเธอให้อะไรกับเขาโดยไม่มีเงื่อนไขกับเขามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะพยายามให้อะไรเธอแบบไม่มีเงื่อนไขมากขึ้น ซึ่งลึกลงไปแล้ว เขาก็หวั่นเกรงกับความรู้สึกไร้ขอบเขตอยู่บ้าง

 

มีบางอย่างเกี่ยวกับเธอที่ทำให้เขารู้สึกสะดุด—จะเรียกว่าแบบนั้นก็คงได้—เมื่อช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิของปี 2018 เป็นการสนทนากันจริงจังเป็นครั้งแรก ที่แย่น่าจะเป็นส่วนที่เขาทำเธอร้องไห้ และไม่ใช่เพราะอะไรอื่น เพราะเขาไปถือวิสาสะพูดกับเธอเองว่า เธอเป็นคนที่ให้อะไรโดยไม่มีเงื่อนไขเท่าไร และนั่นอาจทำให้เธอถูกใช้ประโยชน์โดยง่าย เหตุผลที่เขาพูดก็เป็นเพียงเพราะว่าเธอใจดีกับเขา แต่เขากลับตอบแทนความใจดีของเธอแบบนั้น

 

แม้จะพูดด้วยความเป็นห่วง แต่เป็นแบบนี้แล้ว คนที่ควรจะอยู่ใกล้เธอน้อยที่สุด อาจจะเป็นคนแบบเขาก็ได้

 

เขารู้มาตั้งแต่วันนั้นว่าเธอไม่ชอบฝน เธอใจดีกับทุกคน—และความจริงก็คงจะรักทุกคน แต่กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร แต่เขาก็คิดว่าสำหรับควอแตร์แล้ว มันคงเป็นเรื่องสำคัญ

 

_

 

พบกันครั้งถัดมา เขาก็พาแมรี่มาที่สวนสาธารณะเพื่อจะได้พบปะควอแตร์ด้วย ในวันนั้นควอแตร์ใส่เสื้อผ้าที่ดูสุภาพเรียบร้อยกว่าปกติ พอเห็นความใส่ใจที่มีต่อแมรี่นั้นก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ทั้งที่เธอไม่จำเป็นต้องกังวลก็ได้แท้ ๆ  แมรี่เองก็เป็นเพียงเด็กที่เขาเองก็ไม่ได้สอนเป็นพิเศษว่าการแต่งตัวแบบไหนเป็นแนวผู้หญิงหรือผู้ชาย และเอาเข้าจริงเขาเองก็ไม่ได้คิดเยอะเรื่องนี้

 

หลังจากคุยสัพเพเหระไปสักครู่ เขาก็หลุดแหย่ออกไปก่อนจะห้ามปากตัวเองได้ทันว่า “หรือว่าจริง ๆ แล้วใส่เสื้อแบบนี้มาให้ผมมากกว่าแมรี่กันนะครับ” แทบจะกัดลิ้นตัวเองเหมือนกัน หากเขาเป็นควอแตร์ก็คงมองว่าตัวเขาอวดดีสิ้นดี ในตอนนั้นไนท์ลีย์เองก็ไม่แน่ใจว่าต้องการคำตอบแบบไหน เขาก็ไม่ใช่วัยรุ่นที่น่าจะมาหยอกเล่นเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย เขาเพียงแต่คิดว่าเขามีทางเลือกที่จะพูดหรือไม่พูด

 

ลึก ๆ แล้วเขาคงจะอยากพูดมากกว่า

 

_

 

“เอาเข้าจริงก็ควรกินให้ตรงเวลาเป็นอย่างน้อย เพราะยังไงสุดท้ายเรื่องบางเรื่องละเลยไปมันก็กลับมาในฐานะบิลสุขภาพอยู่ดี” เขาพูดกับควอแตร์ด้วยเสียงเรียบ ๆ กว่าปกติ อาจเพราะเป็นบทสนทนาทำนองที่มักจะต้องมีกับคนรอบกายบ่อยครั้ง จึงเข้มงวดขึ้นมา

 

ควอแตร์ดูจ๋อยราวกับหมาในโอวาส แล้วพยักหน้าหงึก ๆ “ค่ารักษามัน… แรงจริง ๆ นั่นแหละค่ะ” เธอหัวเราะแห้ง พลางละมือจากช้อนขนมของงานกาล่าตรงหน้า แล้วบีบมือตัวเองอย่างประหม่า “หรือโรค—ไม่ ๆ  ฉันหมายถึงเรื่องที่คุณป่วย ก็ต้องจ่ายค่ารักษาเยอะเหมือนกัน?”

 

ไนท์ลีย์เห็นท่าทีแบบนั้นแล้วก็ดันใจอ่อนเอาง่าย ๆ  ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดว่าจะดุแล้วเชียว แม้ว่าเขาเองคงไม่มีสิทธิ์ก็ตาม ถึงอย่างนั้นฟังดูจากถ้อยคำ เขาก็คิดว่าควอแตร์เองก็เข้าใจ… เขารู้ตัวว่าตัวเองมีทรัพย์จึงได้มีชีวิตแบบที่มีอยู่ตรงนี้ รู้ตัวเสมอว่าเป็นอภิสิทธิ์ เขากะพริบตาปริบขณะทำความเข้าใจคำถาม ก่อนจะกล่าวว่า “ผมมีไม่สบายบ้างเป็นบางครั้งเพราะความอ่อนแอในลักษณะคนผิวเผือก แต่เพราะมีพลังของมนุษย์หมาป่าเลยยังนับว่า ป่วยไม่บ่อยเท่าที่คนผิวเผือกทั่วไปเป็นครับ แถมเกิดมาเป็นอัลฟ่าด้วย แต่ว่า… มันเหมือน ‘เผลอเป็นไม่ได้ ก็ป่วยอีกแล้ว’ หรือ ‘ทีคนอื่นในครอบครัวไม่เห็นป่วยจุกจิกขนาดนี้เลย’ ก็เลยพยายามรักษาตัวเอามาก ๆ หน่อย ว่ากันตามตรงก็จากความเซ็งเบื่อ หงุดหงิดรำคาญไม่ใช่น้อยครับ… ทั้งที่ถ้ามีแรงกระตุ้นแง่บวกก็คงจะดีกว่า”

 

ควอแตร์ผ่อนคลายลง ก่อนจะกล่าวว่า “เอ๋ งั้นถ้าเปลี่ยนเป็นแบบ ‘ถ้าไม่ป่วยหรือหายป่วยเร็วจะได้ทำ… ที่อยากทำ ได้กิน… ที่ชอบ’ ไม่ก็ ‘ไม่ป่วยเพื่อที่จะ…’ หาเงื่อนไขภายนอกมาเป็นแรงกระตุ้น หรือตั้งเงื่อนไขภายในเอา อะไรแบบนี้ดูไหมคะ… ที่จริง กับอาการป่วยแบบนั้น ฉันคิดว่าคุณ ‘พิเศษ’ กว่าคนอื่นอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องทำอะไรที่มันพิเศษ ๆ กว่าคนอื่นอยู่แล้ว” เธอกำหมัดเป็นเชิงให้กำลังใจ

 

เขาใช้มือหนึ่งจิ้มขนมไป อีกมือเท้าคางมอง ยิ้มอ่อนใจระคนเอ็นดู “คอนเซปต์ที่ว่า ‘พิเศษ’ เนี่ยไม่ได้คิดมานานแล้วครับ แต่ในฐานะเจ้าของโรคจะให้คิดแบบนั้นมันก็ยากเหมือนกัน… แต่ถ้าคุณคิดแบบนั้นก็ดีใจนะครับ”

 

ความจริงแล้ว การที่ใครสักคนคิดแบบนั้น ก็ชวนเยียวยาอยู่เหมือนกัน ไม่สิ… เพราะเป็นคนที่สนใจคิดแบบนั้น จึงรู้สึกราวกับได้รับการเยียวยาต่างหาก

 

_

 

“ชอบแนวนี้สินะครับ” ไนท์ลีย์เอ่ยกับควอแตร์ขณะดูภาพสีน้ำมันที่ไหลผสมปะปนกันเป็นแนวนามธรรม “ดูแล้วผ่อนคลายดี อาจเพราะผมตีความมันไม่ออกนัก ก็เลยเหมือนไม่ต้องคิด ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามบรรยากาศมากกว่า”

 

“จริงของคุณ แต่อาจเป็นเพราะบางอย่างไม่จำเป็นต้องตีความก็ได้ค่ะ… มันเป็น ในแบบที่เป็นอยู่แล้ว โดยภาพรวมจะปรากฏแก่สายตาคุณ เหมือนกับที่ทุก ๆ คนเห็นอยู่แล้ว”

 

แท้จริงแล้วนั่นเป็นแนวคิดในแบบที่ไนท์ลีย์หวาดกลัวเป็นพิเศษ อาจจะเพราะรอบตัวของเขาไม่มีคนแบบเธอ จึงยิ่งกดดันมากขึ้น

 

แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกสบายใจ

 

บางทีความขัดแย้งในความรู้สึก อาจยิ่งทำให้ความรู้สึกบางอย่างแจ่มชัดยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นได้

 

_

 

บางครั้ง เขาคิดว่าควอแตร์รู้เรื่องของเขามากกว่าที่เขารู้เรื่องของควอแตร์ และบางครั้งเขาก็สงสัยว่าเหตุใดเธอจึงดีกับเขานัก ทั้งที่เขามีอะไรให้เธอน้อยมาก เขาคือทราย ในขณะที่เธอคือดิน

 

ตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วที่เขาเลิกสวมแหวนแต่งงาน เขาบอกตัวเองว่าจะพยายามไม่ร้องไห้เรื่องของภรรยาเก่าอีก แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่เด็ดขาดแบบนั้น หลายปีที่เขาร้องไห้เรื่องเดิมเพียงคนเดียว ถึงอย่างนั้นเขาก็เคยถูกแมรี่โกรธเพราะเธอนึกว่าเขาไม่เคยเสียน้ำตาให้กับคุณแม่ของเธอเลย ความจริงก็ตั้งแต่สมัยเด็กแล้วที่เขาชินกับการร้องไห้เพียงคนเดียว ในยามที่เศร้าและยามที่ทำดี คือสองเวลาที่คนเราควรจะพยายามดำเนินไปเงียบ ๆ  บางทีเขาจะได้รับการสอนมาแบบนั้น เขาจึงพยายามทำเช่นนั้น บางครั้งเขาก็ล้มเหลว น้องชายเคยพบตัวเขาที่ร้องไห้อยู่ น้องบอกว่าเขาควรจะหัดร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเสียบ้าง แล้วจะดีขึ้น—จนปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไรมาทำให้เขาเชื่อมุมมองนั้นสักที

 

เขาจำรายละเอียดของช่วงเวลาที่แม่ของเขาเสียชีวิตไม่ได้นัก แต่เขาจำความรู้สึกได้ มันเป็นเสมือนคลื่นสาดซัดให้จมน้ำหลังจากที่กำลังเล่นสนุกอยู่ ส่วนเรื่องของคุณพ่อ มันก็จบด้วยความตาย และสุดท้ายเรื่องของแอนน์-มารี ภรรยาเก่าของเขา ก็จบลงด้วยความตายอีกเหมือนกัน น้องชายของเขาเองก็เคยพูดบ่อยครั้งเรื่องที่ว่าน้องอาจจะอยากอยู่บนโลกนี้ไม่นาน บางครั้งไนท์ลีย์ก็นึกภาพว่าอีกสิบปีข้างหน้า—ด้วยสถานการณ์ โอกาส หรือทางเลือก เขาอาจจะเหลือเพียงตัวคนเดียว ลึกลงไปเขาก็อยากจะจากโลกนี้ไปก่อนที่คนอื่นจะจากเขาไป แต่—

 

สิ่งที่ช่วยให้ยึดเหนี่ยว อาจจะเป็นแมรี่ แต่แม้กระทั่งแมรี่เอง ก็ยังมีปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือความควบคุม สถานการณ์ที่เขาอาจปกป้องเธอไม่ได้

 

และเพียงเพราะเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรับมือกับแผลเป็นที่ยังหลงเหลือในจิตใจได้ดี เขาก็เอามันไปลงกับควอแตร์ ในงานกาล่าวันเดียวกันนั้น เขาเอ่ยกับเธอว่า “เอาเข้าจริงแล้ว ผมไม่มีหลักประกันอะไรด้วยซ้ำว่าจะเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้นได้  ‘คุณ’ ต้องรับผิดชอบความสุขของตัวเอง”

 

เฉียบพลันนั้นเองที่ดูเหมือนเขาจะทำให้เธอเครียดขึ้นมา “ฉัน… ไม่ได้อยากให้ใครทำให้ฉันมีความสุข ฉันต่างหากที่อยากจะสร้างความสุขให้คนอื่น… ให้คุณ”

 

แล้วเขาก็ทำควอแตร์ร้องไห้อีกแล้ว

 

_

 

เขาเคยชวนเธอไปดูพลุด้วยกัน

 

“เป็นครั้งแรกเลยนะคะ ที่ได้มานั่งดูแบบนี้ ฉันหมายถึง ปกติเดินดูคนเดียว ไม่ก็นอนอยู่ที่ห้องน่ะ ขอบคุณที่มาด้วยกันนะคะ แล้วก็…” เสียงของเธอในประโยคสุดท้ายพลันโดนผู้คนรอบข้างร้องเฮต้อนรับดอกไม้ไฟดังกลบไปหมด ควอแตร์สะดุ้งตกใจ แล้วหลุดหัวเราะแหะ ๆ  เธอหันกลับไปมองพลุ แล้วมองมันเงียบ ๆ

 

ไนท์ลีย์เงยมองภาพพลุที่ดูสวยงามกว่าที่เขาเคยจำได้ เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายมาดูพลุแบบนี้เมื่อไร แต่ชั่วนาทีนั้นมันดูจะไม่สำคัญ ในจังหวะที่มีพลุระเบิดออกมากมายบนฟ้า เขาก็หันมามองเธอ

 

หัวใจของเขาเหมือนจะบีบรัด และระเบิดออก

 

 

 

The End.

 

Posted in Writing

[WZD] ความไม่คุ้นชิน

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของpasted image 0.png

 

Pairing: Vasilios Argyris/Sylem Dagile

Rating: PG

 

 

_

 

 

 

ความไม่คุ้นชิน

 

หากนึกย้อนไปตอนนี้ เสี้ยวหนึ่งของวาซิลิออสคิดว่ากับไซเลม ดาไจล์นั้นเป็นความรู้สึกที่ชวนสบายและเป็นมิตรตั้งแต่แรกเห็น และส่วนที่เหลือเป็นเพียงเหตุผลที่เขาสร้างขึ้น โยงใยจนออกมาเป็นรูปร่างในที่สุดว่าทำไมเขาถึงรักคนคนนี้ แต่หากว่ากันตามจริงแล้ว มันก็ซับซ้อนกว่านั้น เวลาที่เขาสังเกตใครในทีแรก สัญชาตญาณที่จะทำเป็นอย่างแรกคือสังเกตภาพที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป—เหมือนกับทุก ๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิต

เขาเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ ไม่ได้คิดจะลงวิชาฝึกบินด้วยไม้กวาดในปีแรกหรือปีที่สอง เขามองว่ามันเป็นอะไรที่เริ่มทำในปีที่สามก็ได้ หลังจากนั้นถึงจะเริ่มใช้มันจริงจังในช่วงที่ทำงานหลังเรียนจบ

ชีวิตนักเรียนช่วงปีหนึ่งและสองของเขาที่ Wizardry Academy… สิ่งที่จำเป็นในการมีชีวิตอยู่นั้น ช่างมีน้อยนิดเหลือเกิน

เหตุผลที่ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ก็น้อยยิ่งกว่า

_

ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เริ่มออกมาเดินเล่นในโรงเรียนยามเช้ามืดของช่วงปีสาม ก็อาจไม่มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ดาไจล์จนกระทั่งเรียนจบไปเลยก็ได้ เขาคิดแบบนั้น

ในเวลาเงียบเหงาที่คาดว่าจะไม่ได้พบใครนั้น อาจารย์ก็ส่งเสียงจากหลังเสาบอกทักอรุณสวัสดิ์ ด้วยเสียงยานคางราวกับวิญญาณหลอน

“อรุณสวัสดิ์ครับ อาจารย์ดาไจล์… ตื่นเช้าจัง”

“นี่ไม่ใช่ดาไจล์ นี่คือเสา… เสาไม่มีวันหลับ”

“ง… งั้นเหรอครับ” วาซิลิออสเอ่ยอย่างเสียมิได้ เสียงอาจารย์ชัด ๆ แต่… เสาก็เสา “แล้วทำไมคุณเสาไม่หลับไม่นอนล่ะครับ หรือว่าแค่ตื่นเช้า”

“เสาเดินมาผิดบ้าน ทางมันมืด ๆ  เสาตาลาย… ที่นี่บ้านอะไร”

เสียงแบบนี้ เมาเหรอ… อาจารย์นี่น้า “บ้านแกะตัวผู้ครับ” วาซิลิออสกระแอม “เอ่อ… ตาลายสินะ คุณเสาเอาน้ำไหม” หลังจากนั้นเขาก็แว่วเสียงพึมพำว่า ‘เดินผิดอีกแล้ว’ ก่อนที่ ‘คุณเสา’ ที่ว่าจะขอน้ำและบอกห้ามไม่ให้บอกใครว่าเจอเสาที่นี่ วาซิลิออสจึงตอบไปว่า “ได้ ไม่บอกใครหรอกคร้าบ ผมไม่ได้สนิทกับใครปานนั้นสักหน่อย” เขายืดเส้นยืดสาย “คุณเสารอตรงนี้ห้ามขยับไปไหนนะครับ เดี๋ยวไม่ได้ดื่มน้ำนะ” เขากล่าวราวกับสอนเด็ก ๆ ก่อนจะผละไปเอาน้ำมาแก้วหนึ่ง เมื่อกลับมาก็ใช้หางของตนวางแก้วนั้นลงบนพื้น หางของเขาเลื่อนแก้วให้อีกฝ่ายแบบไม่ต้องเห็นหน้ากัน

“งั้นว่าง ๆ มานั่งคุยกับเสาไหม เสาว่างมาก ๆ”

“ได้สิครับ ผมก็ว่างมาก ๆ เหมือนกัน” เขาเอนกายพิงเสาแล้วไถร่นกายนั่งลง แล้วถอนหายใจ “เปิดเทอมคนยังย้ายกันมาไม่หมดเลย แต่ก็ชอบอยู่ที่นี่มากกว่าบ้านล่ะ… แล้วคุณเสาว่างแบบนี้ไม่เหงาหรือครับ”

“งี้แหละตอนใกล้เปิดเทอม เดี๋ยวคนก็เยอะ  ‘คุณหาง’ ก็จะไม่เหงาแล้ว เสาเหงามาก แต่นักเรียนเริ่มจะมากันแล้ว คงจะไม่ว่างในเร็ว ๆ นี้… ซึ่งดีแล้ว”

เขาถดหางกลับมาให้พ้นสายตาเมื่อโดนเรียกด้วยชื่อใหม่ จะเรียกว่ากระดากก็คงใช่ ถ้อยประโยคเหล่านั้นชวนให้วาซิลิออสนึกสงสัยว่าเขาดูเหงารึเปล่า สำหรับเขาแล้วการที่ ‘ดูเหมือนเหงา’ กับ ‘รู้สึกเหงา’ นั้นไม่เหมือนกัน แต่เอาเข้าจริงจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญสักเท่าไร ที่น่าสนใจมากกว่าคือ ส่วนหนึ่งเขามองว่าการที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะพูดออกมาอย่างง่ายดายว่าเหงามากนั้นเป็นเรื่องแปลกดี ตามปกติแล้วยามที่คนเราโตขึ้น ก็ยิ่งจะอยู่ในสถานการณ์ที่พูดความรู้สึกตัวเองยากขึ้น และหากจะพูดออกมา ก็จำต้องหาเหตุผลมาชี้แจงว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนั้น มิเช่นนั้นแล้วความรู้สึกทั้งหมดนั่นจะไม่เป็นที่ยอมรับ

เขาคิดว่า โลกที่เขาอยู่เป็นแบบนั้น เขาคิดว่า คุณเสาเป็นคนที่แปลกในโลกของเขา กระนั้น ก็เป็นความแปลกที่ชวนให้รู้สึกเบาตัวลงอย่างประหลาด

_

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เขาก็ออกมาดูดาวกลางดึก และก็เป็นอีกครั้งที่ได้ยินเสียงทักจากเงามืด

“ไม่หลับไม่นอน”

“คุณเสา… หรือครับ”

“คุณหางไม่ยอมนอนอีกแล้วนะครับน่ะ”

เอ๊ะ เสียงวันนี้ไม่ได้เมานี่ วาซิลิออสคิด ในวันนี้อาจารย์ดาไจล์ไม่ได้ยืนอยู่หลังเสา แต่ก็มืดจนยากจะมองเห็นคุณเสาได้ชัด แต่กลายเป็นหวั่นเกรงระคนประหม่าหากอีกฝ่ายจะเห็นเขาเข้าเต็ม ๆ เสียอย่างนั้น พวกเขาคุยกันเรื่อยเปื่อย พูดถึงดวงดาวบ้าง บางอย่างก็ไม่ใช่อะไรที่เขาไม่เคยคุยกับคนอื่นมาก่อน แต่เนื้อหากลับแตกต่างออกไปจากทุกอย่างที่เคยพบมาเสียหมด

มีครั้งหนึ่งที่คุณเสากล่าวกับเขาว่า “การที่เราไม่สบายใจอะไรแล้วบอกออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือหรือไว้ใจ มันเรียกว่าการเปิดใจน่ะ”

วาซิลิออสได้แต่เงียบไป ฟังไปก็อดที่จะเหงื่อตกนิด ๆ ไม่ได้ “การเปิดใจมันน่ากลัวสำหรับคุณหางน่ะ นี่ยอมบอกเพราะว่าเป็นถึงคุณเสาหรอกนะคร้าบ” เขาว่าพลางยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกว่านี่เป็นความลับ “คุณเสาสมัยเป็นนักเรียนเนี่ย… เป็นคนยังไงกันนะครับ หากผมจะขออนุญาตถามล่ะก็”

“ถามได้ ความสงสัยไม่มีความผิด”

การคุยในช่วงเวลาแบบนั้น จะเรียกว่าเริ่มกลายเป็นความเคยชินก็ไม่ใช่ อันที่จริงแล้วทุกอย่างถือว่าตรงข้ามกับความเคยชิน เขาไม่เคยรู้ว่าคำพูดและคำนิยามบางอย่างสามารถได้รับการบรรยายออกมาอย่างง่ายดายในแบบที่คุณเสาทำได้ด้วย

ช่วงเวลาเหล่านั้นอาจเป็นระเบิดเวลา อีกไม่ช้านานอาจารย์ดาไจล์ก็จะรู้ว่าเขาไม่มีความเข้าใจในเรื่องแบบนี้เลย หรือบางทีเขาอาจจะโดนจับได้แล้วก็ได้

เขาไม่รู้ว่าปกติคนเราเปิดใจยังไง

เขาไม่รู้ว่าจะสงสัยอะไรยังไงโดยที่จะไม่ทำพลาด

_

หากถามว่าเริ่มตกหลุมรักเมื่อไร จนถึงบัดนี้วาซิลิออสก็อาจจะยังชี้แจงไม่ได้ (แต่เขาจำได้ว่ารู้ตัวเมื่อไร—วันที่ดูดาวตกด้วยกันนั้น) แต่หากในเรื่องว่าเริ่ม ‘ชอบ’ เมื่อไร เขาพอจะจับจุดได้อยู่ แม้ว่าตอนนั้นจะไม่ได้รู้ตัวเป็นพิเศษ

“อยาก—อยากให้อาจารย์พาบินไปดูดาว” วาซิลิออสทำสัญลักษณ์มือบินขึ้นประกอบ “แลกกับให้สั่งอะไรผมหนึ่งวันประมาณนี้ก็ได้ครับ” จะเรียกว่าต้องใช้ความกล้าในการขอไหม ก็คงใช่ แม้ในตอนนั้นเขาจะไม่ได้คิดอะไรมากความ แต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นการรบกวน อาจถึงขั้นละลาบละล้วง ซึ่งเข้าใจได้หากอาจารย์ดาไจล์จะปฏิเสธ ความคิดของเขาในตอนนั้นก็เพียงแค่อยากจะดูดาวจากบนไม้กวาดอย่างที่อาจารย์ดาไจล์เคยบรรยายให้ฟังสักครั้ง แต่โดยปกติ ร้อยทั้งร้อย ทุกคนย่อมต้องการสิ่งตอบแทน เขาไม่อยากติดค้างอะไร จึงพยายามเสนอให้อีกฝ่ายขออะไรตอบแทน เขาไม่แน่ใจว่าเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเลือกอะไร วาซิลิออสคงเพียงนึกภาพว่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่เขาทำเพื่อเป็นผลประโยชน์ต่ออาจารย์ แล้วก็หายกันไป แค่นั้น

ในตอนแรกอาจารย์ดาไจล์บอกว่านึกไม่ออกนัก และพอวาซิลิออสพยายามย้ำเรื่องที่ว่าต้องมีค่าตอบแทน มิเช่นนั้นแล้วเขาจะรู้สึกค้างคา อาจารย์ก็เสนอมาในที่สุดว่า ให้วาซิลิออสไปทำอาหารให้และนั่งกินด้วยกันก่อนไปเรียนในยามเช้าเวลา 7 นาฬิกาของวันศุกร์วันหนึ่ง โดยย้ำว่าต้องทำมาด้วยตัวเอง เมื่อได้ยินดังนั้น วาซิลิออสก็เริ่มอิดออด อาจารย์ดาไจล์ดูจะมีแววเอ็นดูระคนเจ้าเล่ห์ขึ้นมา แล้วมอบโจทย์เมนูให้เขาด้วย ซึ่งทำให้ทุกอย่างดูยากขึ้นกว่าเดิม เพราะวาซิลิออสทำเป็นแต่เมนูง่าย ๆ เท่านั้นเอง

_

จนถึงตอนนี้ ‘พี่ไซเลม’ ของเขาจะรู้รึยังว่าทำไมตอนนั้นวาซิลิออสถึงไปเผลอชอบเจ้าตัวเข้า

อาจจะเพราะค่าตอบแทนของคำขอแบบเอาแต่ใจของเขา คือช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น และพยายามดึงให้เขาทำอะไรใหม่ ๆ ที่อาจมีประโยชน์ต่อตัวเขาในอนาคตด้วยกระมัง

ไม่สิ แท้จริงแล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องพูดให้สวยหรูแบบนั้น เขาไม่คุ้นชินกับค่าตอบแทนที่ราวกับเป็นการมอบความสุขให้เขาด้วย ก็เท่านั้นเอง

The End.

Posted in Writing

[WWW] Reminiscence of Her

Holinesz's Chamber

*เอ็นทรี่นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู WWW*


Farron Zerh’s Side

[Reminiscence]

ดอกลิลลี่สีขาวสะอาดถูกวางลงบนปากหลุม เบื้องล่างนั้น… คือร่างไร้ลมหายใจของหญิงสาวคนหนึ่งนอนหลับนิ่งสงบ… ไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีกต่อไปแล้ว

เขายังจำได้ดี… ถึงรอยยิ้มของเด็กสาวคนนั้น

ในช่วงเวลาที่ฟาร์รอนคิดว่าชีวิตของเขาคงจะไม่มีอะไรบัดซบไปกว่านี้อีกแล้ว

ใบอนุมัติไปเที่ยวฮ็อกมี้ดที่ควรจะมีลายเซ็นของผู้ปกครองถูกขยำทิ้งไว้บนโต๊ะ กระดาษสีขุ่นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและร่องรอยน่าโสโครก ฟาร์รอนขยำมันด้วยมือสั่นเทาแล้วปาเข้าไปในเปลวเพลิงจากเตาผิงด้วยแรงโทสะทั้งหมดที่มี

เด็กหนุ่มในวัยสิบห้าสูดหายใจลึก ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องนั่งเล่นว่างเปล่าเพื่อสงบสติอารมณ์

แต่นึกไม่ถึงว่านอกจากจะไม่เย็นลงแล้ว เขากลับเจอตัวปัญหาที่ทำให้อารมณ์คุกรุ่นยิ่งปะทุมากกว่าเดิม

“มิสเตอร์เซียไม่ไปเที่ยวกับคนอื่นเขาหรือไง?” น้ำเสียงนิ่งเรียบที่ฟังแล้วรู้สึกว่ามันกวนประสาทมากกว่าจะเป็นประโยคเอ่ยถามดังขึ้นมาจากด้านหลัง ฟาร์รอนปิดหนังสือในมือ หันกลับไปเผชิญหน้ากับคู่ปรับจากบ้านเรเวนคลอด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

แต่สีฝ่ายคงจะไม่สนใจว่าสีหน้าของเขามันจะเขียนบอกไว้ชัดเจนว่าไม่ควรเข้าใกล้ วิลเลียม เดรคจึงถือวิสาสะก้าวเข้ามาหาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ไม่ใช่เรื่องของนาย”

เขาพยายามตัดบทเพื่อที่จะเดินเลี่ยงจากบทสนทนานี้ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ(หรือแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจเขาก็ไม่แน่ใจ)

“ได้ยินว่านายไปฮอกมี้ดส์ไม่ได้เพราะไม่มีลายเซ็นผู้ปกครองเหรอ?”

รู้แล้วมันจะถามทำไมวะ

ฟาร์รอนพยายามสูดหายใจลึกๆ “ใช่ แล้วจะทำไม?”

แทนคำตอบ ขนมถุงใหญ่ถูกโยนลงมาบนตัก เด็กหนุ่มหรี่ตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่โยนมันมา

“ฉันให้” วิลเลี่ยม เดรคเอ่ยเสียงเรียบพลางยกมือขึ้นกอดอก “พอดีซื้อมาเยอะเกินไป จะทิ้งก็เสียดาย”

“…”

“นึกได้ว่านายคงไม่มีโอกาสได้กินมันเลยเอามาแบ่ง ยังไงก็ดีกว่าโยนทิ้งแหละนะ”

และนั่นทำให้เส้นความอดทนทั้งหมดของเขาขาดผึง

สันหนังสือลอยละลิ่วไปกระแทกคู่สนทนา เขาลุกขึ้นเดินหนีออกมาโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บหรือไม่

ฟาร์รอนไม่เข้าใจ… รู้ดีว่าชีวิตเขามันไม่ได้ดีเหมือนใคร

แต่เขาไม่เคยต้องการความรู้สึกสมเพชจากใคร…โดยเฉพาะวิลเลียม เดรค

ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเขาจำไม่ได้แล้วว่าคุณชายหยิ่งยโสนั่นหยิบยื่นสิ่งของอะไรมาให้พร้อมกับประโยคชวนสมเพชและดูถูกต่างๆ นาๆ

ทั้งไร้ค่า… และสกปรก…

เกลียด…

ความเกลียดในใจของเขามันเริ่มหยั่งลึกลงไปเรื่อยๆ

ฟาร์รอนเกลียดทุกสิ่ง

เกลียดที่สุดคือชีวิตบัดซบงี่เง่าของตัวเอง

[*]

ทุกๆ ครั้ง สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้คือการหลบมายังที่ซ่อนลับในสวน หามุมเงียบสงบและหยิบไวโอลินตัวโปรดขึ้นมาบรรเลงเพลงอย่างโดดเดี่ยว

จนกระทั่งได้เจอกับเด็กสาวคนหนึ่ง

‘เพราะมากเลยค่ะ ไม่ได้ฟังเพลงที่ให้บรรยากาศแบบนี้มานานแล้ว’ 

‘ขอโทษที่รบกวนนะคะ แต่มันเพราะเสียจนคิดว่าอยากให้รุ่นพี่ได้รับรู้น่ะค่ะ’

ท่าทางนิ่งสงบและเป็นธรรมชาติของเด็กสาวคนนั้นสะดุดตาเขาตั้งแต่แรกเห็น 

‘เบอร์แทรมค่ะ ลาน่า เบอร์แทรม’

‘ขออนุญาติเรียกรุ่นพี่ว่าพี่เซียนะคะ’

ชื่อที่ถูกเอ่ยมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทว่านุ่มนวลค่อยๆ ทำให้เขายิ้มออกมา

นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มของใครสักคน หลังจากสิ้นสุดโน้ตตัวสุดท้าย เสียงเพลงที่เธอขอให้เขาเล่นให้ฟังจบลง ฟาร์รอนกะพริบตาปริบ เหลือบมองปฏิกิริยาของเด็กสาวตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่าเขาเล่นเป็นยังไงบ้าง

ฟาร์รอนจำไม่ได้แล้วว่าดีใจแค่ไหนที่ได้ยินคำตอบพร้อมกับรอยยิ้มของเด็กสาวคนนั้น

บทสนทนาต่อมาของพวกเขามีเพียงหัวข้อเกี่ยวกับดนตรีและเวทมนตร์สั้นๆ ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากขอตัว

ตอนนั้นเขาไม่ลืมรับปากว่าจะเล่นไวโอลินให้เธอฟังอีกครั้งหากว่าเธอยังต้องการ

ทว่าผ่านมากว่าหลายปี… โอกาสนั้นก็ไม่เคยมาถึง

จนกระทั่งวันนี้…ที่เขามายืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพของเธอ

ไวโอลินสีดำสนิทถูกยกขึ้นจรดบนไหล่ ก่อนที่เสียงเพลงจะค่อยๆ ดังขึ้นท่ามกลางงานไว้อาลัยอันเงียบสงบ 

{River Flows in You}

สิ้นสุดโน้ตเพลงสุดท้าย ฟาร์รอนไม่หวังให้มีใครลุกขึ้นปรบมือ 

ทว่าความหวังอันน้อยนิดของเขามีเพียงแค่ได้เห็นเด็กสาวคนเดิมยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยชมบทเพลงของเขาอีกครั้ง

แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม 

ฟาร์รอนพับเก็บไวโอลินลงกล่อง หันไปขอบคุณน้องสาวของเธอพร้อมกับเอ่ยลาเจ้าของงานและเพื่อนร่วมงานของตน ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมาจากงานโดยไม่ฟังเสียงร้องทักของใครอีกคนเบื้องหลัง

ทว่าแรงดึงจากแขนทำให้เขาหยุดชะงัก

“นายจะไปไหน?” ฟาร์รอนเลิกคิ้ว หลับตาลงชั่ววิก่อนจะลืมขึ้นพร้อมรอยยิ้มและหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของมือ

“หมดธุระแล้วฉันคงต้องกลับก่อน… ยังไงซะฉันก็เป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญของที่นี่” น้ำเสียงของเขาฟังดูเรียบเรื่อย ขณะค่อยๆ แกะมือบนแขนตัวเองออกอย่างไม่ให้เสียมารยาท

“ทำไมจะไม่—“

“นายอยู่ต่อจนจบงานเถอะ” ไม่ทันรอให้อีกฝ่ายเอ่ยจบเขาก็ชิงตัดบทไปเสียก่อน

ฟาร์รอนไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเขาแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป คุณชายคนโตของตระกูลเดรคจึงชะงักไปครู่ใหญ่และไม่เอ่ยค้านอะไรอีก

เห็นดังนั้นเขาจึงหมุนตัวหันหลังให้เพื่อนร่วมงาน แตะไม้กายสิทธิ์เบาๆ ก่อนจะหายลับไปจากบริเวณนั้น

เขาเป็นแขกที่ไม่สมควรไปอยู่ตรงนั้น

แม้แต่งานที่แสนจะมืดหม่นแบบนี้ ตัวเขายังคงสกปรกเกินกว่าจะยืนอยู่ตรงนั้น… 

หากมีสักครั้ง….ถ้าหากมีสิ่งที่ทำให้ฟาร์รอนรู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิต

หนึ่งในนั้นคงเป็นความตายของลาน่า

‘จะกลับมาสีไวโอลินได้อีกไหมนะ’

‘มันมีความหมายว่าความหวังอยู่ด้วย คิดว่าเหมาะกับคุณเซียที่สุดแล้ว’

วันนั้น… ในห้วงแห่งการหลับไหล กลิ่นดอกไอริสจางๆ ลอยมาแตะจมูก ใบหูคล้ายกับได้ยินเสียงของเธอจากที่ไกลๆ 

หากรู้ว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ยินเสียงของเธอ

ฟาร์รอนยอมแลกกับทุกๆ อย่างเพื่อให้ตัวเองตื่นขึ้นมาฟัง… แม้เพียงไม่กี่วินาที

แต่เพราะเวลาเดินถอยหลังไม่ได้

และตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว

END

เป็นฟิคที่แต่งเอาไว้นานแล้วและไม่อยากปล่อยทิ้งเอาไว้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเลยเอามาลงซะเลยค่ะ U _ U ตอนเขียนถึงลาน่าแอบปวดหน่วงในใจมากๆ…

View original post 5 more words

Posted in Articles, Reviews

[วิเคราะห์] ธีมและสัญลักษณ์ใน Puella Magi Madoka Magica the Movie: Rebellion

หนังไตรภาค Puella Magi Madoka Magica กำกับโดยอะคิยูกิ ชินโบ เขียนโดยเกน อุโรบุชิ

เราพยายามเน้นวิเคราะห์ภาค 3 “Rebellion” นะคะ แต่ก็มีอ้างอิงเอ่ยถึงสองภาคแรกเพื่อเปรียบเทียบและเชื่อมโยง

มีข่าวออกมาว่าจะมีหนังภาค 4 ออกมาเพิ่มปีหน้า (ซึ่งถ้าให้ตีความสัญลักษณ์ใน trailer แล้วก็… คลุมเครือ รอดูของเต็มเลยดีกว่า…) เราจึงหยิบมาดูใหม่ เขียนบทวิเคราะห์ซะเลยเพราะกะจะเขียนตอนดูครั้งแรกเมื่อปี 2014 จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้เขียนสักที TvT

SPOILERS หนังไตรภาค Puella Magi Madoka Magica

puella-magi-madoka-magica-movie-3-rebellion

ธีมที่สอบเนื่องมาตั้งแต่สองภาคแรก: Beginnings กับ Eternal

สองภาคแรกเน้นธีม:

วัฏจักรความหวัง vs. ความสิ้นหวัง เมื่อความหวังบังเกิดขึ้นก็ย่อมมีความเส้นหวัง ทุกอย่างนำกลับมาที่ศูนย์เพื่อคงความสมดุลเอาไว้ ถ้าเป็นในแง่มุมของชาวพุธก็เป็นเรื่องของการมีความสุขก็ย่อมมีความทุกข์ หากเป็นแง่มุมของชาวคาทอลิก/คริสเตียน คำว่า despair นั้นก็ถือเป็นสิ่งที่สวนทางกันกับหลักแนวคิดที่ให้มีความหวัง มันคือที่สุดของความมืดก็ว่าได้ เพราะความหวังเป็นเหมือนต้นเหตุของแสงสว่าง

Consequentialism ซึ่งถือว่าความชอบธรรมของการกระทำนั้นตัดสินด้วยผลลัพธ์ หรือก็คือ  the ends justify the means – เป้าหมาย/ผลนั้นดีเป็นสิ่งสำคัญ แล้วจะใช้-วิธีไหนก็ถือว่ายอมรับได้

Utilitarianism (ประโยชน์นิยม) ผสมกับ consumerism (บริโภคนิยม) คือมีความเชื่อในการเอาประโยชน์สูงสุด เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ในหนังสองภาคแรกนำเสนอมาในแนวประมาณว่าทำไมล่ะ สิ่งที่ฉันทำกับเธอ ถึงเธอจะเดือดร้อน แต่ก็เหมือนเธอที่เธอทำกับสัตว์โลกนะ เธอดูแลสัตว์ที่เธอกิน ถึงจะฆ่ามันภายหลังแต่ก็ถือว่าเป็นการเอื้อกันเอง ก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ประโยชน์ของจักรวาลโดยรวมที่ได้จากสาวน้อยเวทมนตร์

นอกจากนั้นเราคิดว่าสองภาคแรกเป็นการแสดงให้เห็นส่วนหนึ่งของ “โลกความเป็นจริง” ตามมุมที่เกน อุโรบุชิต้องการนำเสนอ ซึ่งนำมาสู้ธีมของความจริงไม่ได้มีเพียงด้านเดียว คิวเบย์สัตว์ตัวเล็กที่ดูไม่มีพิษมีภัย โผล่มาเสนอว่ามาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์เถอะ! ถ้าเป็นแล้วเราจะให้แบบนี้ ๆ ตามที่ท่านต้องการ เสนอที่จะทำความหวังของท่านให้เป็นจริง แต่ทางเราไม่ได้อธิบายรายละเอียดว่าท่านต้องเจอกับอะไรบ้าง จะเรียกว่า evil ได้รึเปล่า ก็อาจจะไม่เชิง คิวเบย์จะไปสร้างสถานการณ์บีบบังคับให้เป็นสาวน้อยเวทมนตร์ก็น่าจะได้ แต่ไม่ทำ ปล่อยให้เป็นทางเลือกของพวกตัวเอกล้วน ๆ สุดท้ายก็เป็นเพราะ “เธอไม่ได้ถาม” ธีมตรงนี้ก็พยายามให้คนดูได้สัมผัสเองด้วยจากการให้คนดูได้ค่อย ๆ เห็นความจริงแต่ละด้านเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไป ในตอนแรกก็ไม่มีใครรู้ว่าโฮมูระเป็นใคร เป็นต้น

.

.

ธีมในภาค 3: Rebellion

โดยรวมแล้วภาค Rebellion ก็ยังมีธีมในสองภาคแรก แต่ขยายต่อไปอีก เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการกบฏต่อพระเจ้า

ภาค Rebellion ขยายต่อจาก hope vs. despair และเริ่มพูดถึง desire vs. order (ความปรารถนา vs. กฎ) เมื่อคนเราแหกกฎเพื่อความปรารถนา

ธีมอีกอันที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดคือ ความรัก ในภาคนี้จะเห็นการเปรียบเทียบระหว่างความรักของมาโดกะกับความรักของโฮมูระ ความรักของมาโดกะก็สะท้อนความรักที่เสียสละโดยไม่คำนึงถึงความต้องการของตัวเอง ความรักที่ไม่อิจฉา ไม่โกรธเคียง ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน ความรักที่ไม่ทำร้ายใคร (อ้างอิง I Corinthian 13:4-7 – “Love is patient, love is kind. It does not envy, it does not boast, it is not proud. It does not dishonor others, it is not self-seeking, it is not easily angered, it keeps no record of wrongs. Love does not delight in evil but rejoices with the truth. It always protects, always trusts, always hopes, always perseveres.”) ในขณะที่ความรักของโฮมูระ… คนดูบางส่วนอาจดูแล้วคิดว่ามันดูเป็นความรักครอบครองเกินเหตุ หรืออาจจะเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว แต่เราว่ามันใกล้เคียงกับของมาโดกะ แต่มาต่างกันตรงที่เอา desire มาก่อน ซึ่งนำไปสู่คำถามที่ว่า หรือว่านี่จะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ พวกเราคือเผ่าพันธุ์ที่มี desire เป็นแรงผลักดันโดยธรรมชาติ แต่ก็ใช่ว่าความรักแบบมาโดกะจะไม่มีอยู่จริง เพียงแต่เป็นสิ่งที่ยากที่จะอยู่ในรูปแบบตัวตนของมนุษย์ แต่ความรักของมาโดกะอยู่ในรูปแบบ “คอนเซปต์” ที่ผลักดันให้ผู้คนมีความหวังและไม่ร่วงหล่นสู่ความสิ้นหวังนั่นเอง

.

.

สัญลักษณ์:

.

การแปลงร่าง

การแปลงร่างในภาค Rebellion เราสนใจตรงท่าเต้นของแต่ละคน

มามิเต้นบัลเลต์ โดยรวมแล้วเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามและความสมบูรณ์แบบ แต่ท่าเต้นของมามิจะออกไปทาง ice skating มากกว่าท่าเต้นบัลเลต์ของโฮมูระ ท่าเต้นของมามิกระตุ้นความรื่นเริงกับความคึกคัก ฉากหลังเป็นดอกไม้ ในกรณีนี้เรามองว่าแสดงถึงความเป็นหญิง ตรงที่หมุนตัวรอบสุดท้ายมีลักษณะเหมือน grief seed ก่อนที่จะฉีกและหลุดออกจากความมืดในฉากที่แปลงร่างเสร็จ

เคียวโกะ (คนโปรดของเราเอง TvT ) เต้น Spanish dance เป็นสัญลักษณ์ของ passion และความรักที่เร่าร้อนเสมือนลุกเป็นไฟ ฉากหลังน่าจะเป็น… ผล apricot เพราะชื่อเคียวโกะมีตัวอักษรที่แปลว่า apricot (杏子) ที่เป็นสัญลักษณ์ของพลังที่ป็นผลมาจากอุปสวรรคของความทุกข์ยาก ช็อตที่แปลงร่างเสร็จมีการฉีกออกออกด้วยมือ เหมือนจะสื่อถึงการทำลาย ก่อนจะหลุดออกมาเป็นช็อตที่แปลงร่างเสร็จ

ซายากะเต้น break dance ซึ่งน่าจะสะท้อนบุคลิกลักษณะทอมบอย ๆ ของเธอ แต่คิดว่าคงเป็นการสะท้อนด้วยว่าเธอลืมเคียวสุเกะแล้ว (เพราะเคียวสุเกะเป็นดนตรีคลาสสิค) จะเรียกว่านี่คือตัวตนของซายากะที่ไม่เกี่ยวข้องกับเคียวสุเกะก็ว่าได้ ถ้าเคียวโกะเป็นเหมือนไฟ ซายากะคงเป็นธาตุน้ำ มีฉากที่เธอวิ่งชนตัวเองก่อนจะหลุดจากความมืดอีกเหมือนกัน (ของซายากะน่าจะหมายถึงการต่อสู้กับตัวเอง)

โฮมูระก็เต้นบัลเลต์เหมือนกับมามิ ที่สองคนนี้ใช้บัลเลต์เหมือนกันอาจจะสะท้อนความเด็ดเดี่ยวที่ทั้งคู่มีเหมือนกัน (ทั้งสองเป็นตัวแทนของ determinism) แต่ไปคนละทาง ท่าเต้นของโฮมูระกระตุ้นคนละความรู้สึกกับมามิ จะแสดงถึงการมีภาระผูกพันและความเศร้า เราเห็นช็อตแวบ ๆ ของตัวอักษรแม่มด (เป็นการใบ้คำตอบของปริศนาในเรื่องให้คนดู) ฉากหลังมีเส้นด้ายสีชมพูและม่วง น่าจะสื่อถึงเส้นด้ายโชคชะตาที่ผูกเอาไว้ระหว่างเธอกับมาโดกะ มีช็อตที่เหมือนแผ่นฟิล์มผ่านไปด้วย (เป็น motif เชื่อมโยงกับฉากแรก ๆ ของหนังที่ต้อนรับทุกคนสู่โรงภาพยนตร์) เธอเองก็มีช็อตที่หลุดจากความมืดเหมือนกับคนอื่น

มาโดกะ เป็นท่าเต้นไอดอลสาวญี่ปุ่น ก็น่าจะเพราะเธอเป็น idolised figure ของโฮมูระ ของพวกพ้อง (และอาจจะของโลก ในฐานะพระเจ้า) มีแค่มือที่สว่าง มือของมาโดกะน่าจะเชื่อมโยงกับการใช้พลังในรูปแบบพระเจ้า (ตอนเธอช่วยคนอื่นเธอยื่นมือไปก่อน ตอนจบโฮมูระคว้ามื้อของเธอก่อนจะตัดเธอออกจากความเป็นพระเจ้า) ฉากหลังเป็นรูกุญแจกับกุญแจ เพราะเธอเป็นกุญแจสำคัญที่จะมาปลดล็อคโฮมูระในตอนท้าย มีดอกเดซี่ซึ่งมักจะมีความหมายเกี่ยวข้องความไร้เดียงสา ความบริสุทธิ์ รักแท้ การเริ่มต้นใหม่ มาคู่กับ clover ที่มีสี่ใบที่เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี ภาพตัวมาโดกะที่จับมือเรียงกันน่าจะหมายถึงตัวตนที่มีอยู่มากมายในหลาย timeline และตัวตนที่มีอยู่ในทุก ๆ ที่ในฐานะพระเจ้า ตอนแปลงร่างเสร็จใช้มือปิดโชว์ตาข้าวเดียว เราตีความว่าเป็นดวงตาของพระเจ้าอีกเหมือนกัน ประมาณ the great eye ที่มองเห็นทุกสิ่ง และมาโดกะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้หลุดออกจากความมืดแบบคนอื่น แต่เราเห็นแก้วแตก (เชื่อมโยงกับตอนจบที่เหมือนเธอจะแตกออกจากอัตตาความเป็นพระเจ้า) และมีเส้นสายรุ้ง เหมือนฟ้าหลังฝน (มีแถบสายรุ้งในฉากของโฮมูระแบบแม่มดด้วย ซึ่งสายรุ้งนั้นน่าจะเป็นความคิดถึงมาโดกะที่เป็นเสมือนฟ้าหลังฝนของโฮมูระ)

.

ใครคือเค้ก

ระหว่างร้องเพลงใครคือเค้ก แต่ละคนก็วนตอบไป

ซายากะ คือราสเบอร์รี่ เราตีความว่าเพราะราสเบอร์รี่คือสัญลักษณ์ของความใจดีในศิลปะของคริสเตียน น้ำสีแดงคือเลือดที่ไหลผ่านหัวใจ ซึ่งถือกันว่าความใจดีแผ่ออกมาจากส่วนนั้น คิดว่านี่น่าจะเชื่อมโยงกับสิ่งที่ซายากะพยายามจะเป็น เหตุผลที่เธอมาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ส่วนหนึ่งก็เพราะความใจดี เธออยากเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ในแบบที่เธอต้องการจะเป็น (ช่วยคนอื่น) ก็เพราะความใจดีอีกเหมือนกัน

เคียวโกะ คือแอปเปิ้ล สัญลักษณ์ของความรู้ ความอมตะ การล่อลวงและบาป ในภาษาละตินคำว่าแอปเปิ้ลกับ evil นี่เกือบจะเหมือนกัน (malum) หลัก ๆ เราคิดว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องราวชีวิตของเคียวโกะที่ถูกมองจากคุณพ่อว่าเป็นแม่มด เหมือนผู้ถูกล่อลวงและคนบาปที่ถูกขับไล่

มามิ คือชีส เป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ใช่ผลไม้ อันนี้เราคิดว่าเป็นเพราะมามิไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ เธอมักจะสร้างฉากหน้าที่เข้มแข็งที่เหมือนมีการปรุงแต่งมาแล้ว และในหนังมี irony ตรงที่ว่าเบเบชอบกินชีสมากที่สุด ซึ่งในอีก timeline หนึ่ง มามิถูกกิน/ฆ่าโดยเบเบ (ภายหลังมีฉากหนึ่งที่มามิพูดกับเบเบว่าระวังจะกลายเป็นชีสนะ ซึ่งอาจจะสะท้อนแนวคิดเรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็กที่มีอยู่ในภาคแรกๆ ถ้าไม่ระวังก็จะกลายเป็นผู้ถูกล่าเอาได้เหมือนกัน)

โฮมูระ คือฟักทอง สัญลักษณ์ของ Jack-O-Lantern หัวฟักท้องของฮัลโลวีน เกี่ยวข้องกับเรื่องราวแจ็ค ผู้ชายที่หยุดปิศาจไม่ให้เอาวิญญาณเขาไปนรก แต่สุดท้ายก็ไปไม่ได้ทั้งนรกและสวรรค์ เพราะสวรรค์ไม่รับ แต่จะไปนรกก็ไม่ได้เหมือนกันเพราะปิศาจสัญญาไว้แล้ว (โซลเจมของโฮมูระในตอนจบก็ดูคล้ายฟักทองด้วย) ฟักทองดูเหมือนจะหลุดออกมาจากปากของตัวฝันร้ายแล้วค่อยตัดฉากไป ในขณะที่ของคนอื่น ๆ ไม่ได้เป็นแบบนั้น อาหารของคนอื่นจะเหมือนถูกป้อนให้ตัวฝันร้าย

มาโดกะ คือเมลอน เป็นผลไม้ตระกูลที่เชื่อมโยงกับฟักทอง อาจจะต้องการสื่อความแตกต่างของเธอกับโฮมูระ ในขณะเดียวกันก็แสดงถึงโชคชะตาที่ผูกกัน มาโดกะร้องว่า “เมื่อเมลอนแตกออก มันนำฝันดีมาสู่ทุกคน” (โยงกับตอนจบของหนังภาค 2 ที่ตัวตนของมาโดกะแตกกระจายออกไปกลายเป็นเพียงคอนเซปต์ ที่นำความหวังมาให้มนุษยชาติ และโยงกับตอนจบของหนังภาคนี้เช่นเดียวกัน)

.

ฉากรู้ความจริง

ตอนที่โฮมูระรู้ความจริงว่าใครคือแม่มด เธอขึ้นไปนั่งบนรถบัส และมีนาฬิกาจะตีบอกเวลาใกล้เที่ยงคืน พอถึงจังหวะที่เธอรู้ความจริงก็มีนกฮูกบินมา เป็นสัญลักษณ์ของความรู้ เมื่อรู้ก็บังเกิดไฟขึ้น แสดงถึงความโกรธ ความเดือดดาล ความทุกข์ร้อนใจ แล้วเวลาก็ตีบอกเวลาเที่ยงคืน ถือเป็นเริ่มต้นวันใหม่ หรือจะเรียกว่ากลับมาที่ศูนย์ดี… อีกนัยหนึ่งอาจจะหมายถึงการที่เวลาที่ถูกหยุดไว้ได้เดินต่อแล้ว

.

อื่น ๆ

โบว์สีแดงของมาโดกะ น่าจะหมายถึงเส้นดายของโชคชะตาแต่แรก เธอเลือกใส่โบว์อันนี้วันแรกที่เจอโฮมูระ (อย่างน้อยก็ในไทม์ไลน์ที่อยู่ในภาคแรก) เธอให้โบว์อันนี้กับโฮมูระตอนที่กลายเป็นพระเจ้า สุดท้ายในตอนจบโฮมูระก็คืนโบว์นี้ให้กับเธอ

.

.

.

ที่จริงอยากจะวิเคราะห์ Homulily ด้วย แต่แค่วกกลับไปดูฉากนั้นอีกทีก็… เยอะอยู่ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ ยาวแล้ว orz อื่น ๆ ถ้าไม่สปอยล์เป็นพิเศษอาจพล่ามในทวิตเตอร์แทนค่ะ

ทั้งนี้มีคนตีความหมายในมาโดกะไว้ร้อยแปด ของเราก็เป็นเพียงมุมหนึ่ง /โค้งรอบวงแล้วจากไปย์

Posted in Gallery

Free Paper 2013

Dreizehn Tredici

Free Paper ของเซอร์เคิลเรา ที่ออกในงานComic Avenue I  ปี2013ค่ะ

เป็นเรื่องของรุ่นปู่เช่นเคยค่ะ (Grindelwald x Dumbledore)

Freepaper 2013by dreizehnTredici

ปกGellert Grindelwald

.

.

เนื้อในเป็นเรื่องสั้น 6หน้าค่ะ

.

Freepaper GA1

Freepaper GA2

Freepaper GA3

Freepaper GA4

Freepaper GA5

Freepaper GA6

………………………………………………………………………………….

จบแล้วค่า

View original post

Posted in Gallery

Free Paper 2015

Dreizehn Tredici

Free Paper ที่ออกในงาน Comic Survival ค่ะ(04/08/15)

 .

.

.

Elder & Rowan

.

.

FreePaper2015 000

(Grindelwald x Dumbledore)

.

.

FreePaper2015 001

FreePaper2015 003

FreePaper2015 003d

FreePaper2015 004

FreePaper2015 005

……………………………………

.

.

.

FreePaper2015 006

…………………………………………………………………………………………………….

.

.

.

(Gregorovitch & Ollivander)

.

.

FreePaper2015 008

FreePaper2015 009

FreePaper2015 010

FreePaper2015 011

FreePaper2015 012

………………………………………………………………………………….

View original post