Posted in Writing

(Skyfall fic) The Nature of Crucifixion (Silva/Bond) [Part 2]

Title: The Nature of Crucifixion (2/?, Part of ‘Hunger’ series)
Author: Daiong [ไดอง]
Beta-reader: Blue Cat
Pairing: Silva/Bond
Rating: NC-17
Warnings: Sex/BDSM โดยไม่สมยอม, การทารุณกรรม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
Author’s Note:
– ของขวัญ (อนึ่ง cock cage) ที่ซิลวาให้บอนด์มีลักษณะราวๆนี้ (คลิกระวังหลังนิดก็ดีนะคะ) >> x
– จขฟช.พิมพ์ผิด’รุนราน’คำหนึ่ง แล้วคุณเบต้าก็ทักมาว่าไม่แน่ใจว่าจะให้เป็น’รุกราน’รึเปล่า ผลปรากฏอิไดองชอบคำผสมรุนกับรานค่ะ เลยใช้ซะ X’D (ทำให้นึกถึงตอนที่เพื่อนคนนึงเคยบอกว่าสไตล์การเขียนเหมือนพวกอนุรักษ์นิยม จริงๆไม่เชิงค่ะ ถ้าข้าน้อยผสมอะไรนอกพจนานุกรมได้ก็ใช้โลดนะ)
– คงไม่ได้จบเรื่องนี้แล้วล่ะมั้งงงง TvT เพราะฉะนั้นจะไม่ทิ้งไว้ตอนท้ายว่า TBC. นะคะ แต่ถ้าสบโอกาสอีกก็อาจจะกลับมาเขียนฟิกเรื่องนี้อีกค่ะ จะว่าไปคุ้ย ๆ ดูแล้วเหมือนจะมี draft เพิ่มไว้ซีนหนึ่ง แต่มันไม่สมบูรณ์ เลยอาจจะไม่เอามาอัพค่า
– เปิดฟิกนี้ผ่าน ๆ อีกครั้ง พบว่าเมื่อก่อนเคยใช้ศัพท์ผสม(เอง)คำว่า “หักสลาย” ชอบมากเลย ตอนนี้ลืมคำนี้ไปโดยสิ้นเชิง อยากกลับมาใช้อีก 55
Previous:

 

* * *

 

 

 

The Nature of Crucifixion

Part Two

 

มีชายผู้หนึ่งกำลังจะตาย

เขาวอนขอให้เอากระสุนที่สลักชื่อของนายฝังลงไปในเนื้อของเขา

มีชายผู้หนึ่งกำลังจะตาย

เขาวอนขอให้เอามีดที่ย้อมเลือดของเขาฝังลงไปในแผ่นหลังของนาย

มีชายผู้หนึ่งกำลังจะตาย

เขาวอนขอให้พระเจ้าเอาวิญญาณหลอดหนึ่งของเขาฉีดเข้าไปในเลือดของนาย แลกกับการนำเลือดของนายมาพรมลงบนวิญญาณของเขา

_

 

เปลือกตาของบอนด์เปิดขึ้นช้า ๆ  กล้ามเนื้อรู้สึกล้า ศีรษะมึนอึงเพราะยาสลบที่ได้รับก่อนหน้านี้

 

มีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไปจากเดิม

 

สถานที่

 

มีเตียงขนาดใหญ่ บอนด์กำลังสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีดำที่ถูกตัดมาอย่างดี ไม่มีเนคไทหรือเสื้อนอก และเท้ายังคงเปลือยเปล่า

 

ห้องเป็นรูปเศษหนึ่งส่วนสี่ของวงกลม ผนังกระจกรูปโค้งเผยให้เห็นภาพท้องฟ้า – สีฟ้าจัดจ้า นัยน์ตาสีนภาตวัดมองเห็นกล้อง – หนึ่ง-สอง-สามตัว น่าจะมีอีกหนึ่งหรือสองเบื้องหลังช่องระบายอากาศบนเพดาน ข้างเตียงมีตู้กดน้ำเปล่าเล็ก ๆ ที่ติดตั้งช่องสำหรับหยิบแก้วกระดาษ ผนังด้านข้างเตียงมีนาฬิกาเรือนเดิมติดอยู่ นี่คือวันที่แปดนับแต่ซิลวาสวมลูกกรง—

 

สายลับ 007 ดึงความคิดออกจากจุดนั้นและปิดเปลือกตาลงชั่วขณะ เขาพบว่าเขาสามารถยันกายให้ลุกขึ้นได้ สายหนังสีดำที่ข้อมือยังคงอยู่ มีสายโซ่ความยาวประมาณ—หนึ่งฟุต—เชื่อมข้อมือทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน ยาวเพียงพอที่จะรัดคอใครได้ เช่นเดียวกับโซ่อีกสายที่ข้อเท้า ครั้งนี้เขาไม่ได้ถูกตรวนไว้กับเตียง

 

“รู้สึกสบายดีรึเปล่า มิสเตอร์บอนด์” เสียงหนึ่งดังขึ้นในรูหู

 

บอนด์สบถพระนามของพระเยซูคริสต์ แล้วหายใจเข้าเฮือกใหญ่ บัดซบ เขายกมือขึ้นแตะเทคโนโลยีชิ้นเล็กที่อุดหูขวาวูบหนึ่ง—

 

“เป็นสายลับระดับ 00 ทั้งที ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนก็ไม่ควรเอามืออุดหูนะ ที่รัก”

 

“ก็แค่ตรวจดูว่านายไม่ได้… เย็บมันเข้ากับหูฉัน หรืออะไรสักอย่าง” บอนด์พูดปัด ๆ  กล้ามเนื้อบริเวณแก้มกระตุกทันทีที่ตระหนักว่าพูดอะไรออกไป

 

เงียบไปเพียงชั่วอึดใจ แล้วซิลวาก็ตอบเสียงนุ่มว่า “เป็นความคิดที่น่าดึงดูดใจ แต่ผมไม่อยากให้คุณมีอีกเรื่องให้วุ่นวาย ในเมื่อของขวัญที่ให้ไปก่อนหน้านี้ก็ต้องได้รับการทำความสะอาดเป็นระยะอยู่แล้ว”

 

บอนด์ปิดปากเงียบ สูดหายใจเข้า และขยับกายลงจากเตียง หัวใจกระตุกไหวด้วยจังหวะประหลาดเมื่อฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้น กรงเหล็กใต้เนื้อผ้ากางเกงให้ความรู้สึกหนักเพียงเล็กน้อย เขากวาดสายตาไปรอบห้อง ขณะเดินเข้าไปใกล้กระจกหน้าต่างรูปโค้ง แว่วเสียงหัวเราะแผ่วเบาของซิลวาอยู่ในรูหู ซึ่งบีบให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่เกร็งขึ้นอย่างเสียมิได้

 

“ขังเดี่ยว” บอนด์เอ่ยขึ้น หาได้หมายให้มันเป็นประโยคคำถาม เหงื่อเย็น ๆ ซึมที่ฝ่ามือ ไม่มียามเฝ้าอยู่ในห้องใหม่บนตึกสูงนี้ เขาถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวเป็นครั้งแรก ทว่าหูฟังและกล้องวงจรปิดกลับทำให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนจับจ้องอยู่นั้นเฉียบคมขึ้น และบาดลึกยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ

 

“ผนังกระจกกันกระสุน แล้วก็ไม่ใช่ชนิดที่คนอื่นจะสามารถมองเห็นข้างในได้”

 

บอนด์ไม่ตอบ ดวงตาสีฟ้ามองลงไปข้างล่าง  อันที่จริง เมื่อกะเอาจากขนาดของผู้คนที่เดินอยู่ด้านล่าง ตึกนี้ก็ไม่ได้สูงนัก  เพียงแต่บริเวณนี้มีตึกทรงเตี้ยเสียมากจึงเปิดให้เห็นท้องฟ้าชัดเจน ภาพฟากฟ้าสีสว่างกระตุกดึงปมเส้นลวดในทรวงอกแผ่วเบา หากบอนด์ยังคงสีหน้าเรียบเฉยยามที่เสสายตากลับเข้าไปในห้อง

 

“นั่น—พ่อหนุ่มที่รัก—คือประตูห้องน้ำ แล้วนั่นคือประตูทางออก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เปิดให้คุณออกไป” ซิลวาอธิบายตามทิศทางสายตาของบอนด์ เขากล่าวต่อไปว่า “ในกรณีที่คุณพยายามหนี แม้ผมจะเห็นว่ามีโอกาสสำเร็จน้อยเพียงใดก็ตาม แก๊สยานอนหลับจะทำงานโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับกรณีที่คุณพยายามทำร้ายตัวเอง อย่างไรก็ตาม ผมหวังว่าคุณคงจะชอบทัศนียภาพของลอนดอนและเสื้อผ้าชุดใหม่ – ผมสังเกตว่าคุณออกจะชื่นชอบใส่อะไรที่พอดีตัว น่าจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากขึ้น”

 

บอนด์หรี่ตาใส่กล้องวงจรปิดอันหนึ่ง “ฉันจะถอดไอ้นี่ออกล่ะนะ รำคาญหู”

 

“ถ้าจะถอดจริงก็ไม่เห็นต้องเอ่ยบอกผมล่วงหน้า หรือคุณกลัวว่าถ้าไม่บอกเลยจะทำให้โดนลงโทษหนัก มิสเตอร์บอนด์?”

 

บอนด์กลอกตาขึ้นมองสีฟ้าของนภาวูบหนึ่ง ก่อนจะดึงหูฟังออกแล้วเหวี่ยงไปที่มุมห้องอีกฟาก

 

ปมลวดที่อยู่ในทรวงอกของเขารู้สึกเย็นวาบขึ้น

 

_

 

บอนด์ใช้เวลาสักพักหนึ่งสำรวจประตู และของใช้ทุกอย่างในห้องน้ำ ไม่มีสิ่งใดที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้

 

ไม่มีกระจกให้ส่อง แต่บอนด์ก็รู้ได้ว่าเคราถูกโกนออกไปเรียบร้อยระหว่างที่โดนยาสลบอยู่ เพราะสัมผัสเรียบลื่นที่คาง เขาเลื่อนมือไปแตะเส้นผม ซึ่งดูเหมือนจะสั้นลงนิดหน่อยด้วย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าซิลวาช่างใส่ใจตกแต่งตัดเล็มคนในโอวาทให้ออกมามีลักษณะที่ตนเองต้องการโดยแท้

 

นัยน์ตาของบอนด์เหลือบดูหูฟังชิ้นกระจิดริดตรงมุมห้องเป็นครั้งคราว บางคราเขาก็ทำเช่นนั้นโดยไม่รู้ตัว เพียงเพราะมันเป็นจุดสีดำเด่นตัดกับพื้นและผนังสีขาว

 

เขาค้นพบในเวลาต่อมาว่ามีช่องใต้ประตูที่เปิดออกเพียงไม่กี่วินาทีเพื่อสอดจานอาหารมาให้ – จานกระดาษและช้อนพลาสติก บอนด์เลือกที่จะเมินเฉยต่อมันโดยสิ้นเชิง แม้จะรู้ว่าซิลวาคงบังคับให้เขากินหลังจากนี้ แต่ก็ยังมิมีใจจะรับประทานสิ่งใด

 

ตัวเลขดิจิตอลสีแดงบนแผ่นนาฬิกาเคลื่อนต่อไป

 

ความหิวกลับช่วยคั่นความใส่ใจของบอนด์ที่มีต่อนาฬิกาเรือนนั้น

 

_

 

28 ชั่วโมงถัดมา บอนด์แว่วเสียงเบา ๆ จากหูฟังที่ถูกวางทิ้งไว้ มันเป็นทำนองเพลง ‘Boom Boom’ ของวง The Animals  เมื่อเขาได้ยินเสียงเพลงนั้นเปิดวนเป็นรอบที่ห้า บอนด์ก็ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมายัดหู พลางว่า “ช่วยบอกทีว่าบังเอิญตอนนี้นายกำลังจะตาย”

 

Boom boom boom boom! I like the way you walk, I like the way you—ปี๊บ—เปล่า เสียใจด้วยนะ ผมแค่อยากถามว่าคุณจะชอบมากกว่ารึเปล่า หากผมใช้วิธีตัดขาดประสาทรับรู้ ทำให้คุณมองไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียง สัมผัสอะไรไม่ได้ โดยที่ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนหรือจะจบลงเมื่อไร ไม่เกิน 24 ชั่วโมงคุณก็จะเริ่มเห็นภาพหลอน – ลูกเล่นของสมองมนุษย์เราไงล่ะ เพียงเวลาไม่นานก็พร้อมจะสร้างภาพขึ้นมาทดแทนสัมผัสรับรู้ที่ถูกพรากไป แล้วเชื่อเถอะว่า 40 ชั่วโมงผ่านไปคุณจะ… ดีใจมาก… เมื่อผมปลดปล่อยคุณจากสภาพนั้น และจะโผเข้ามาอยู่ในอ้อมอกผมเลยทีเดียว แล้วหลังจากนั้นชั่วชีวิตนี้คุณก็จะทนความเงียบไม่ได้ ทนแม้กระทั่งห้องที่ถูกทาสีขาวล้วนไม่ได้” ความเงียบอันน่าอึดอัดเข้าแทรกอยู่อึดใจหนึ่ง “คุณจะหวาดกลัวการอยู่คนเดียวพอ ๆ กับหวาดกลัวผู้คน”

 

บอนด์เม้มปาก “นั่นคือสิ่งที่นายเจอที่ประเทศจีนตอนนั้นรึไง” เขาค้นพบว่าการพูดคุยโดยไม่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายนั้นให้ความรู้สึกเหมือน… ถูกแยกออกจากความเป็นจริงอย่างยากจะอธิบายได้

 

ความเงียบผ่านไปประมาณห้าจังหวะการเต้นของหัวใจ “ถ้าคุณอยากรู้… ก็ใช่ แล้ว… คุณก็ยังไม่ได้ตอบคำถามของผมอยู่ดี”

 

ดวงตาสีฟ้ากะพริบถี่ ๆ  บอนด์หันไปในทิศที่กล้องน่าจะส่องเห็นหน้าได้ชัดเจนน้อยที่สุด “ฉันจะชอบมากกว่าถ้าไม่ต้องเห็นหน้านายอีก”

 

“หืมมม์”

 

ผู้ฟังแทบได้ยินรอยยิ้มจากสุรเสียงของซิลวา

 

“ผมไม่คิดจะให้คุณเห็นหน้ามนุษย์คนไหนอีกสักพัก นอกจากผม  เพราะฉะนั้นหากคุณไม่เห็นหน้าผม คุณก็คงไม่ได้เห็นหน้าใคร อ้อ—จะว่าไปแล้ว คิวที่รักของพวกเราได้พยายามแกะรอยวิธีการทำงานของผมแล้วเกือบเจอรังเก่าที่เราเคยอยู่ แต่พลาด ตอนนี้เขาต้องกลับไปตั้งต้นใหม่” ซิลวาบอก “ใช่ว่าคุณจะสามารถทำอะไรได้ แต่บอกคุณไว้ก็ไม่เสียหลาย แล้วไว้คุยกันนะ มิสเตอร์บอนด์ อย่าลืมกินอาหารมื้อต่อไปด้วย เก็บแรงเผื่อเอาไว้ไง ที่รัก”

 

บอนด์ไม่ตอบ แต่ครั้งนี้เขาปล่อยเทคโนโลยีชิ้นเล็ก ๆ ให้อยู่ในรูหูเฉกเดิม

 

_

 

บอนด์ตัดสินใจฝึกฝนร่างกายเล็กน้อย ด้วยเล็งเห็นว่าเป็นสิ่งสมควร  หากบอนด์มิได้จินตนาการไปเอง เขาคิดว่าตัวเองเหนื่อยยากกว่าช่วงที่เกิดเรื่องสกายฟอลล์ บางอย่างในตัวเขาพยายามยื้ออยู่กับการมีชีวิต บางอย่างเกี่ยวกับที่นี่ทำให้เขาเกือบลืมคิดถึงแอลกอฮอล์ บางอย่างกำลังทำให้เขาก้าวผ่านความจริงที่ว่าเขาปกป้องเอ็มไว้ไม่ได้ บางอย่าง—

 

ซิลวา

 

หากจะพูดให้ถูกก็คือ ซิลวาทำให้เขารู้สึกว่าหากอีกฝ่ายยังรอดจากเรื่องราวในอดีตกาล เขาก็ต้องอยู่ได้ แล้วจะต้องรอดออกไปแบบที่—

 

บอนด์ปาดเหงื่อออกจากหางคิ้วหลังจากซิทอัพเสร็จ

 

—เขาจำเป็นต้องเชื่อว่าตัวเองจะไม่หักสลาย

 

_

 

ชั่วโมงที่ 39 นับแต่บอนด์ตื่นขึ้น อาหารจานล่าสุดที่เขาได้รับเริ่มพร่องลงไปบ้าง

 

“แล้ว…” จู่ ๆ ซิลวาก็ปริปากพูดหลังจากเงียบมานาน

 

บอนด์สะดุ้งเล็กน้อยอย่างมิอาจปิดบัง เขากำลังนั่งบนพื้นทอดสายตามองการเคลื่อนไหวด้านล่าง ไหล่ข้างหนึ่งพิงอยู่กับผนังกระจกอันเย็นเยียบ

 

“เซวารีนพูดอะไรเกี่ยวกับผมบ้างหรือ ตอนที่คุณได้พบเธอ”

 

บอนด์เหลือบขึ้นมองกล้องวงจรปิดที่อยู่ใกล้เขาที่สุด “เธอบอกว่าไม่มีความกลัวประเภทไหนเหมือนกับนาย”

 

“แล้วคุณคิดว่าเธอพูดถูกรึเปล่า”

 

เงียบไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ

 

“ประเภทอย่างนายน่ะ หาที่ไหนก็ได้”

 

“โอ้ มิสเตอร์บอนด์ ซิลวากล่าว “คุณนึกว่าตัวคุณดีกว่าผมมากนักเลยสิท่า”

 

“ฉันไม่จำเป็นต้องนึกเพื่อที่จะรู้ว่าฉันดีกว่านาย” บอนด์ตอกกลับเสียงหนัก

 

“คุณรู้ว่าเซวารีนได้… เอ้อ… ถ้าจะใช้คำที่คนเขาโจษขานกัน ก็เรียกว่าเธอถูกทารุณทางเพศ แล้วคุณคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าหาเธอคือการเข้าไปรุกรานเรียกร้องเซ็กซ์จากเธอในห้องอาบน้ำ? โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัวหรือ”

 

“มีกล้องอยู่ที่นั่นด้วยสินะ” บอนด์ว่า “เธอไม่ได้ทำอะไรที่ฝืนความต้องการของเธอ ตอนที่เธออยู่กับฉัน”

 

คุณน่ะคิดว่าคุณไม่ได้ทำอะไรที่ไม่สมควร เธอนั้นถูกกดขี่ทางเพศตั้งแต่ตอนเพิ่งย่างเข้าสู่วัยรุ่น เธอไม่มีภาพจุดยืนแน่นอนหรอกว่าปกติแล้วสิ่งที่ไม่สมควรคืออะไร ผมค่อนข้างแน่ใจว่าผู้หญิงจำนวนมากไม่เห็นว่าการบุกรุกเข้าไปในห้องอาบน้ำโดยไม่บอกกันถือเป็นเรื่องเย้ายวนใจ แต่คุณดูจะคิดว่าการใช้เซ็กซ์ในการปลอบโยนจิตใจผู้หญิงเป็นเรื่องปกติ—”

 

“ฉันไม่เหมือนนาย ไอ้บัดซบ” บอนด์สวนกลับไปด้วยน้ำเสียงดังขึ้น

 

“อ๊ะ ๆ  ไม่มีเหตุต้องเดือดกัน เจมส์” ซิลวาพูด “ผมไม่ได้กล่าวโทษอะไร ผมเพียงแต่ต้องการบอกว่า… หนูน่ะไม่จำเป็นต้องเข้าใจว่าต้นมะพร้าวมันโตขึ้นมาอย่างไร ไม่จำเป็นแม้แต่จะต้องเข้าใจหนูด้วยกันเองเสียด้วยซ้ำ ในเมื่อกลายเป็นหนูที่กินพวกเดียวกันไปแล้ว”

 

บอนด์นิ่งเงียบไป เขาได้ยินสุ้มเสียงกร่อกแกร่กจากการพิมพ์บนแป้นคอมพิวเตอร์ “นายกำลังดำเนินแผนอะไรอยู่ล่ะตอนนี้” เขาหาได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบอย่างสัตย์จริง แต่ก็พอหวังจะได้รับรู้บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

 

“พยายามแกะรอยการทำงานของ Q branch ดูบ้าง—แต่จงอย่าห่วง  007” ซิลวากล่าว “ผมยังทำอะไรไม่ได้เลย ขอตัวก่อนนะ เจมส์”

 

_

 

บอนด์จงใจเลี่ยงมองกล้องใด ๆ เมื่อเขาอยู่ในห้องอาบน้ำ

 

เขาจะเมินเฉยการอาบน้ำไปเสียทีเดียวก็มิได้ ในเมื่อรู้ว่ากรงที่กักกันท่อนกายตรงหว่างขาจำเป็นต้องได้รับการทำความสะอาด แล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นี่ก็คงดีกว่าการให้ซิลวาเป็นคนจัดการให้แบบตลอดเวลาที่ผ่านมา

 

หูฟังถูกถอดวางไว้นอกห้องอาบน้ำ บอนด์นึกพิจารณาอยู่ตลอดเวลาระหว่างที่ชำระล้างร่างกายว่าควรโยนมันทิ้งโถส้วมเสียให้รู้แล้วรู้รอดดีไหม ในเมื่อซิลวาไม่ได้ปล่อยให้เขาได้ยินเสียงภายนอก หรือเสียงใด ๆ ที่พอเอามาอนุมานข้อสรุปที่น่าจะเป็นประโยชน์ได้

 

ข้อมูลหลักอย่างเดียวที่มีคือคำพูดของซิลวา ซึ่งบอนด์มิแน่ใจนักว่าเขาปรารถนาที่จะรับฟังเสียงนั้นต่อไปเรื่อย ๆ  ทว่า เมื่อจัดการอาบน้ำเสร็จ เขาก็ตัดสินใจหยิบหูฟังนั่นมาใส่อีกครา

 

“อันที่จริงมันกันน้ำนะ คุณจะใส่มันตลอดเวลาเลยก็ได้” ซิลวากล่าวขึ้นทันที

 

เรื่องสิ บอนด์คิด แต่ตัดสินใจเงียบเสียง

 

“มีชุดใหม่สอดมาให้จากช่องในห้องถัดไปแล้วนะ เจมส์ อาหารมื้อเย็นของคุณก็ด้วย”

 

_

 

บอนด์กลัวการนอนหลับยามอยู่ที่นี่ แต่เขาก็ฝืนได้ไม่เกิน 48 ชั่วโมง

 

เขาสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงโซ่กระทบใบหู ดวงตาเบิกโพลง แลเห็นวงหน้าซิลวาอยู่ห่างปลายจมูกตนเพียงคืบเดียว

 

วินาทีต่อมาเขาผวาหนีและพยายามถีบอีกฝ่ายออกห่างพร้อม ๆ กัน  วินาทีถัดจากนั้น เสี้ยวหนึ่งของสายโซ่ที่ตรวนข้อมือก็บาดเข้าที่โหนกแก้มของซิลวา  แล้ววินาทีถัดมา สายโซ่นั้นก็ถูกขึงไว้เหนือศีรษะบอนด์ ติดกับแผ่นกระจกด้านหลัง

 

แสงไฟยามราตรีที่ส่องผ่านผนังกระจกกระทบกับเสี้ยวหน้าคมคร้ามของบุรุษสเปน ตัดกับความมืดในห้องที่อยู่ด้านหลังกายหนา ซิลวาดูประหนึ่งปิศาจที่ผุดผายออกมาจากความมืดทมิฬ

 

“ชู่ว… ชู่ว… พ่อหนุ่มที่รัก” ซิลวาเอ่ยเสียงเบา “อรุณสวัสดิ์ คุณนอนไม่เป็นเวลาเอาเสียเลย” หยาดเลือดไหลลงมาจากแผลเล็ก ๆ ที่โหนกแก้ม เขาเบนกายหันไปหานาฬิกาด้านหลังวูบหนึ่ง บัดนี้เป็นเวลา 2:47 นาฬิกา

 

ซิลวาใช้มือข้างที่ว่างปะป่ายมาบริเวณกลางลำตัวของบอนด์ แล้วกดบางเบาลงบนความแข็งของกรงที่อยู่ใต้เนื้อผ้ากางเกง เสียงโซ่จากข้อเท้าของบอนด์ดังขึ้นอีกคราเมื่อเขาพยายามตวัดขาสู้ แม้จะรู้ว่าเท้าข้างหนึ่งของซิลวาได้ตรึงให้มันอยู่กับที่เรียบร้อยแล้ว

 

‘วันที่สิบ—’ กลีบปากซิลวาขยับพูดโดยไร้เสียง ในจังหวะที่เขาแน่ใจว่าบอนด์มองหน้าเขาอยู่ ก่อนจะเปล่งเสียงกล่าวต่อ “—ที่คุณไม่ได้ถึงสวรรค์ ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไรหรอกเนอะ ถึงอย่างนั้นผมก็พูดไว้แล้วว่าอาจจะปลดล็อคให้ในวันที่สิบ น่าจะลองสักหน่อย…” เขาเอียงคอพินิจดูบอนด์ “แต่ท่าทางเจ้าหนูในโอวาทจะไม่ยอมไปที่เตียงดี ๆ…”

 

_

 

Boum!

Quand notre coeur fait Boum!

Tout avec lui dit Boum!

Et c’est l’amour

Qui s’éveille.

 

มีชายผู้หนึ่งร้องลำนำในกะโหลก

เพื่อไม่ให้เสียงระเบิด

ข้างนอก

ทำลายบทเพลง

 

มีชายผู้หนึ่งดื่มท่วงทำนองอันแตกหัก

เข้าไป

แล้วสูญเสียความเงียบไปตลอดกาล

 

มีชายผู้หนึ่งได้ยินเสียงระเบิด

ข้างนอก และข้างใน

 

มีชายผู้หนึ่งได้ยินเสียงระเบิด

ในกะโหลกของเขา

ดังรุนแรงกว่าที่ใด

 

_

 

รอยปื้นกลับมาที่ข้อมือบอนด์หลังการดิ้นรน

 

ซิลวาไม่ชอบใจเรื่องนั้นนัก แต่เขาพอใจเพียงพอที่ข้อมือของอีกฝ่ายถูกตรวนไว้กับเสาเตียงทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับข้อเท้า

 

กรงรูปทรงเดียวกับแก่นกายความเป็นชายวางอยู่ที่ข้างหมอน พร้อมกับกุญแจดอกหนึ่ง

 

ซิลวาคร่อมอยู่เหนือกายเปลือยเปล่าด้านล่าง พลางใช้สายตาดื่มด่ำผิวบริเวณลำคอไล่เรื่อยไปจนถึงต้นขาของสายลับหนุ่ม ซึ่งถูกเคลือบไปด้วยน้ำมันหอม นิ้วโป้งหยาบนวดวนแผ่วเบาบริเวณท้องน้อยอันสั่นเกร็ง บอนด์บีบปิดดวงตา ผงะศีรษะจมลงกับใบหมอน

 

หลังจากสิบวันที่ไม่ได้รับอนุญาตให้แข็งขืนได้อย่างเต็มที่ บอนด์ดูอดอยากความหฤหรรษ์อย่างน่าสงสารใต้สัมผัสของเขา ซิลวาใช้นิ้วรูดไปตามแก่นกายหนาสีชาด เฝ้าตรับฟังเสียงผู้ถูกแตะต้องพยายามสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด

 

“ผมไม่ได้ปิดปากคุณนะ คุณได้รับอนุญาตให้ครางได้” ซิลวาบอก เพราะคนตรงหน้าดูเหมือนจะใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อเงียบเสียงตนเอาไว้ ประหนึ่งว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยให้อารมณ์ราคะของเขาสงบลง ซิลวาบรรจงใช้เล็บนิ้วชี้กดเบา ๆ ที่ยอดท่อนกายสีสด บอนด์เปล่งเสียงหอบระคนสำลักในลำคอ หยาดสีขุ่นขาวปริ่มไหลออกมาจากความเป็นชาย แต่ซิลวาก็รวบบีบที่ฐานจุดอ่อนไหวเอาไว้ไม่ให้คนตรงหน้าเสร็จสม

 

ซิลวาสูดหายใจเข้า ซึมซับกลิ่นหอมหวานแห่งเนื้อหนังมังสา เอียงคอมองบอนด์ที่ยังคงปฏิเสธที่จะมองกลับมา พลางว่า “ผมบอกว่าจะปลดล็อคให้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยให้คุณได้ถึงวันนี้นี่นา” แล้ว—โอ้ ดูลำคอของบอนด์ยามที่เขากลืนน้ำลายนั่นสิ

 

007 ผู้เข้มแข็ง  ไม่ปรารถนาจะร้องวอนขอ และมุ่งมั่นที่จะหมางเมินต่อความกลัว แต่ดูเขาสิ ดูเขาดิ้นรนสิ

 

ซิลวาดึงกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอก เปิดและหยิบอุปกรณ์ข้างในออกมา – วงแหวนสีทองคล้องติดกับสายหนังสีดำเส้นเล็ก

 

บอนด์ยื้อสายโซ่ที่ตรวนข้อมือเพื่อพยายามดึงตัวออกห่างอีกฝ่าย—โดยสัญชาตญาณเสียมากกว่าด้วยความเชื่อว่าจะหนีจากซิลวาได้จริง ๆ

 

“ทีนี้… ผมขออนุญาตถามในเชิงสมมุติ…” ซิลวาเอ่ย ขณะสวมวงแหวนนั้นลงบนแกนกายความเป็นชายของอีกฝ่าย “คุณจะยอมพูดเว้าวอนรึเปล่า เจมส์ ในกรณีที่คุณแน่ใจว่าผมจะทำตามคำขอนั้น” ว่าเสร็จก็ดึงสายหนังให้รวบลูกอัณฑะแน่นเพียงพอที่จะทำให้การเสร็จสมเป็นไปได้ยาก เรียกลมหายใจกระตุกเฮือกหนึ่งจากบอนด์ ก่อนที่ซิลวาจะนาบทับกายลงบนลำตัวอีกฝ่าย กลีบปากหนาครึ่งหนึ่งของซิลวาเหยียดเป็นรอยยิ้ม และขยับกระซิบ “คุณจะพูดวอนขอความสุขสมรึเปล่า”

 

ซิลวาตระหนักดีว่าการสกัดกั้นไม่ให้ถึงจุดสุดยอดทั้งที่ถูกโลมเล้าโดยตรงนั้นย่อมสร้างความตึงเครียดทางจิตใจและสรีระ เขาพิศดูดวงตาสีนภาที่มองเพดาน แลเห็นหยาดน้ำเริ่มปริ่มขอบตาเมื่อซิลวาหมุนวนสะโพกอย่างเชื่องช้า กดและเสียดสีเนื้อผ้ากางเกงของตนกับแก่นกายแข็งขืนของร่างด้านใต้

 

“ไม่อยากตอบหรือ ว้า…” ซิลวากล่าว ยันกายขึ้นเว้นระยะห่างจากแผ่นอกบอนด์ ก่อนจะหยิบขวดน้ำมันหอมขวดเดิมที่ยังอยู่บนเตียงขึ้นมา ราดของเหลวลื่นลงบนฝ่ามือ แล้วไล้มันให้ทั่วทุกท่อนนิ้ว ขณะพินิจดวงตาสีลำน้ำที่มองกลับมาชั่วครู่ มีความกระสันอยากอยู่ในดวงตาของร่างเบื้องใต้เฉกที่หนูติดสัดพึงจะมี และมีบางสิ่งที่ใกล้เคียงกับความเกลียดชัง บางทีมันอาจจะเป็นความเกลียดชัง

 

แต่บอนด์เป็นพวกที่มาจากเงามืดเหมือนกับซิลวา เขาได้เรียนรู้ที่จะตัดแยกความรู้สึกที่จะกัดกินตัวเองเฉกเช่นความชังทิ้งไป เป็นเพียงหนูที่พยายามเอาชีวิตรอด ผู้ต้องเรียนรู้ที่จะกินเนื้อหนูด้วยกันเอง

 

ไม่ว่ามันจะเป็นเนื้อของตนเองหรือไม่ก็ตาม

 

“การฝึกสายลับ 00 นี่คงไม่ต่างจากสมัยที่ผมอยู่มากนักหรอกใช่ไหม” ซิลวาเปรยถาม ไล้มือไปตามท่อนขาด้านหลังของบอนด์ ก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วไปไล้วนที่ปากทางคับแคบด้านล่าง ดวงตาสีฟ้าสวยปิดลงอีกครั้ง “อ๊ะ ๆ  my dear golden boy… ผ่อนคลายสิ” เขาก้มลงมาขบกัดใบหูบอนด์ พลางสอดใส่เรียวนิ้วเข้าไป “พวกเขาฝึกคุณมายังไงบ้างนะ ให้พยายามพูดถ่วงเวลาในกรณีที่คิดว่าทาง MI6 กำลังดำเนินการส่งคนมาช่วย โดยไม่ปริปากสิ่งใดที่อาจเป็นอันตรายต่อองค์ราชินีและประเทศชาติเป็นอันขาด? ให้สู้รับมือและพยายามหาทางหนีอย่างถึงที่สุด?” ซิลวาใช้นิ้วที่สองเบียดแทรกเข้าออกเป็นจังหวะ “แต่หากในกรณีที่เล็งเห็นว่าตัวเองไร้ทางสู้และไร้ทางหนี ก็จงอย่าทำสิ่งใดที่อาจยุแหย่ให้ผู้จับกุมทำร้ายตัวเองไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพียงยอมโอนอ่อนรับการทุบตีทรมาน บลา ๆ ๆ… หรืออะไรเทือกนั้น—โอ๋ ๆ…” ซิลวาฉีกยิ้มขณะขบเม้มซอกคอคนที่ผวาเฮือกเมื่อเขาแทรกนิ้วเข้าไปลึกเพียงพอที่จะกดจุดอ่อนสะท้านภายใน และกระซิบว่า “อดทนไว้ นี่ไม่ใช่เพียงเพื่อความพอใจของผมหรอก แต่เพื่อตัวคุณด้วย” เขาแทรกนิ้วเพิ่มเข้าไปเป็นสามนิ้ว ลากมันเข้าออกช่องทางนุ่มร้อนด้วยจังหวะเนิบช้า

 

ฮะ… อะ-อ๊ะ…” หน้าผากของบอนด์กดลงบนเนินไหล่อีกฝ่าย ทั่วทั้งไหล่ขึงเกร็ง ท่อนขากระตุกไหว

 

“ถ้ายอมเอาใจคุณเสียหมด มันก็จะเหมือนรสชาติมะพร้าวที่คุณกินจนเฝือน่ะสิ ใช่ไหม” ซิลวาพูด ขยับใบหน้าให้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถแลกปลายลมหายใจกับริมฝีปากที่สั่นระริกของคนตรงหน้า ชิดใกล้ราวกับหมายจะจูบ แต่ซิลวาก็ไม่เคยทาบทับริมฝีปากพวกเขาเข้าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกือบจะเหมือนอะไรที่ตรงข้ามจูบเสียมากกว่า “นี่คือการฟื้นคืนชีพไง เจมส์ การฟื้นคืนชีพที่คุณอาจไม่รู้ว่าคุณต้องการ—โอ้ อย่ากัดปาก—” ซิลวาใช้นิ้วของมือข้างที่ว่างสอดเข้าไปในช่องปากอีกฝ่าย ไม่สะทกสะท้านกับฟันคมที่กดลงมา ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าบอนด์จงใจกัดเขาโดยตรงหรือเพียงแต่หาที่ระบายกันแน่ “—ผมล่ะอยากจะเก็บริมฝีปากล่างนั้นไว้ในโอกาสฤกษ์งามยามดีอื่น ๆ… แต่คุณยังถูกฝึกไม่ดีพอสำหรับการนั้น” ซิลวาเหยียดยิ้มดุจแมวเกียจคร้านขนาดย่อม

 

เขาดึงนิ้วออกจากช่องปากของบอนด์ ถอนนิ้วมืออีกข้างจากช่องทางสีเรื่อด้านล่าง แล้วค่อยยืดกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงในระยะที่ห่างเพียงพอจะไม่สัมผัสกายบอนด์ ซิลวาเอ่ยต่อ “ไม่ต้องทำหน้าสับสนหรอก เจมส์ที่รัก ผมเข้าไปในตัวคุณแน่… คืนนี้…” ซิลวาทาน้ำมันหล่อลื่นปริมาณเกินพอดีลงบนท่อนกายอันตื่นตัวของตน แล้วจึงตั้งท่าให้อยู่ในตำแหน่งเหมาะสม ปลายยอดความแข็งขืนเริ่มเสียดแทรกเข้าไปในปากทางสีระเรื่อ ซิลวาใช้ฝ่ามือลากตามท่อนขาทั้งสองของบอนด์ สังเกตวิธีที่ผิวเนื้อใต้ฝ่ามือสั่นวาบกับสัมผัสนั้น ก่อนจะตวัดสะโพกเสือกกายเข้าไปรวดเดียว เรียกเสียงร้องอย่างไม่ทันตั้งตัวจากบอนด์ ซิลวาหยุดขยับชั่วครู่ “แล้วผมก็วางแผนให้คุณร้องครวญจนกว่าจะเสียงแห้งด้วย”

 

ว่าเสร็จเขาก็กระแทกกายเข้าไปด้วยจังหวะที่ดูเหมือนจะไม่แน่นอน หากมีท่วงทำนองของมัน เป็นการร่วมโลกีย์เฉกจังหวะตีกลอง แล้วบอนด์ก็บิดเร่าใต้ร่างของซิลวา บางทีบอนด์อาจจะได้ยินเสียงเพลงที่กรีดลึกอยู่ในสมองของผู้ที่รุกล้ำตน

 

บอนด์หอบหนัก สำลักเสียงครางครวญออกมา ก่อนที่เสียงของเขาจะเริ่มดังก้อง ฟังดูมีชีวิตสะท้อนผนังเย็นเยียบ

 

ซิลวาเบียดเสียดเข้าไป ทัศนียภาพตรงหน้าพร่ามัว หากยังเห็นสีฟ้ากับสีบลอนด์กับสีโลหิต—สูบฉีดภายใต้ผิวสีแทนอ่อน ความร้อนมาคู่กับความแสบสันของราคะ พลันซิลวาก็รู้สึกว่าความหฤหรรษ์อยู่ใกล้เขาเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด เขาหอบกระเส่า หมอกสีขาวเริ่มแผ่ซ่านใต้เปลือกตา แต่เขาพยายามอดกลั้นตัวเองให้รออีกนิด ยังคงปรารถนาที่จะสอดแทรกเข้าไปในกายผู้แบ่งปันนามเดียวกับเขานานกว่านี้ แรงกว่านี้ ลึกกว่านี้ เนื่องด้วยความร้อน ณ ที่นี้มันเด่นชัดเสียยิ่งกว่าความร้อนของคฤหาสน์แห่งสกายฟอลล์ที่กำลังเผาไหม้ เฉียบคมเสียจนทิวทัศน์อื่นหมองมัว อีกนิดเดียว—

 

ทุกอย่าง ณ ที่นี่อาจไม่สวยงามนักหรอก ซิลวายอมรับ

 

แต่เพียงเสี้ยววินาทีนั้นมันไม่มีความเจ็บปวด มันอาจจะมีความทรมาน ใช่ แต่เป็นความทรมานที่ทำให้ไขว้เขวจากความเจ็บปวดโดยสิ้นเชิง ซึ่งอาจจะฟังดูผิดเพี้ยนสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่สำหรับซิลวา

 

มันคือการใช้ไฟดึงสมาธิจากปากแผลกลัดหนอง

 

“ซิลวา” บอนด์โพล่งออกมาท่ามกลางเสียงหายใจแรง ๆ  สุรเสียงแตกแห้ง หยาดน้ำไหลออกมาจากหางตา เหงื่อกาฬไหลตามไรผม ท่อนขาบีบเกร็งขนาบสีข้างของกายหนาที่กำลังรุนรานตน วงแหวนสีทองที่บีบรัดเขานั้นพอจะสะท้อนแสงให้เห็นในความมืด แก่นกายแข็งหนาสีชาดเปียกลื่นไปด้วยน้ำมันหอมผสมกับน้ำราคะที่เอ่อออกมาจากปลายยอด แม้จะไม่อาจ—ไม่อาจถึงจุดสุดยอดที่ใฝ่หวังได้

 

“เจมส์” ซิลวาเอ่ย ด้วยอาการติดนิสัยเสียมากกว่าตอบรับการขานชื่อตน แล้วปลดปล่อยน้ำตัณหาลึกภายในตัวคนตรงหน้า ทอดมองร่างที่แอ่นรับมันโดยมิตั้งใจ ทุกสรรพสิ่งเป็นสีขาวตลอดเวลาที่ซิลวาส่งทอดอารมณ์ทั้งหมดให้ไหลเข้าไปในตัวอีกฝ่าย ช่องทางร้อนตอดรัดเขาเป็นจังหวะตลอดเวลาที่ซิลวาชะลอการเคลื่อนไหว ก่อนจะหยุดลงในที่สุด

 

ทุกอย่างเริ่มกลับมามีรูปร่าง แล้วซิลวาก็เห็นสีเลือดบนผิวหน้าบอนด์ได้กระจ่างขึ้น

 

สองนาทีหลังจากนั้น ซิลวาเคลื่อนย้ายกายบอนด์ไปที่ห้องอาบน้ำ ปล่อยให้หยาดราคะที่ไหลออกมาจากช่องทางแดงช้ำของคนในอ้อมอกหยดลงเปื้อนพื้นสีขาว สายหนังที่รัดรอบข้อมือและข้อเท้ายังคงอยู่ แต่ครานี้ไม่มีโซ่มาด้วย เขาล็อคข้อเท้าบอนด์ให้ชิดติดกัน แต่ไม่ใช่ข้อมือ กระนั้นบอนด์ก็หาได้แสดงท่าทีจะแข็งขืน

 

ซิลวาวางร่างเขาลงบนพื้นห้องน้ำและเปิดน้ำเย็นให้สาดลงมาจากฝักบัว บอนด์ไม่ได้มองตาเขา และซิลวาก็ไม่ได้พยายามสบตาอีกฝ่าย

 

บอนด์ดึงขวดสบู่มาจากมือซิลวาเป็นเชิงยืนกรานว่าจะจัดการเอง ทว่าเขาก็มิได้ไหวกายหนีระหว่างที่ซิลวาช่วยถูสบู่ลงบนแผ่นหลัง ปละปล่อยให้อีกฝ่ายใช้นิ้วโป้งนวดลงบนช่องบุ๋มใต้สะบักหลังตลอดช่วงเวลาที่บอนด์ทำความสะอาด… ส่วนอื่น  และแล้วซิลวาก็หยิบขวดแชมพูที่บอนด์ยังไม่เคยเปิดมาและเทจำนวนเล็กน้อยลงบนเส้นผมสีบลอนด์ตัดสั้น หัวไหล่ของบอนด์กระตุกไหวเมื่อได้กลิ่นแชมพูชนิดเดียวกับที่ซิลวาใช้ แต่เขาก็ผ่อนบรรเทากล้ามเนื้อลงโดยไม่พูดอะไร แล้วนั่งเฉย ๆ ใต้น้ำฝักบัวกระทั่งซิลวาล้างมันออกจากเส้นผมจนหมด เขาเพ่งมองกระเบื้องสีขาวยามที่ซิลวาเลื่อนมือมาที่หว่างขาของเขาจากด้านหลัง แล้วจึงปลดสายหนังออกจาก—

 

สายลับหนุ่มกลืนน้ำลาย ยังไม่ละสายตาจากกระเบื้องสีขาว สายตาของซิลวาที่มองสำรวจเขาให้ความรู้สึกราวกับจับต้องได้จนแทบหายใจไม่ออก

 

เขาเริ่มหายใจไม่ออก

 

ซิลวารู้ แต่ไม่ถอยห่าง เขายังปล่อยแหวนสีทองไว้ที่เดิม ก่อนจะหดมือกลับมา เขานวดลำคอบอนด์แผ่วเบา และทำเช่นนั้นกระทั่งลมหายใจคนตรงหน้ากลับมาสงบตามปกติ

 

หามีฝ่ายใดปริปากพูดอีกตลอดคืนนั้น

 

 

 

* * *

Posted in Writing

(Skyfall fic) The Nature of Crucifixion (Silva/Bond, part 1)

Title: The Nature of Crucifixion (1/?, Part of ‘Hunger’ series)
Author: Daiong [ไดอง]
Pairing: Silva/Bond
Overall Rating: NC-17
Warnings: Sex/BDSM โดยไม่สมยอม, การใช้ยา, alcoholism, การทารุณกรรม
Genre: Angst, smut, drama
Prequel: Hunger
Author’s Note:
– เป็นเรื่องที่เขียนไม่จบ หลังจาก part 2 ไปก็ยังไม่ได้ต่ออีก แต่ repost ให้อ่านหลังจากเก็บ entry เป็น drafted ไปใน exteen ค่ะ
– ถือว่าเป็นส่วนเดียวกับฟิกเรื่อง Hunger แต่ไม่ต้องอ่าน Hunger ก็ได้ค่ะ
– Post-Skyfall AU ที่ซิลวาไม่เดี้ยงและบอนด์ดวงซวย

* * *

The Nature of Crucifixion

 

Part One

“ดังนั้นก่อนที่คุณจะประกาศว่าพวกเราไม่เป็นที่ต้องการ ถามตัวเองก่อนเถิดค่ะว่าคุณรู้สึกปลอดภัยแค่ไหน มีอีกเรื่องหนึ่งที่ดิฉันอยากจะพูดถึง สามีที่เพิ่งเสียไปของดิฉันเป็นผู้ชื่นชมบทกวี—”

บอนด์ยังคงไม่ลืมตาขึ้น ในขณะที่หัวคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อย เอ็มไม่เคยบอกว่าสามีของเธอเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อไร ตอนที่เขาบุกรุกเข้าไปครั้งล่าสุด บอนด์พอรู้ว่าสามีเธอไม่ได้อยู่ที่อพาตเมนต์ของเอ็มมาสักพักหนึ่งแล้ว แล้วไม่นานหลังจากที่กลับมาทำงานอีกครั้ง เขาก็สังเกตว่าเอ็มใส่แต่สีดำตั้งแต่ก่อนที่เขาจะถูกยิงจมหายไปกับน้ำ

เขาไม่เคยถามเรื่องสามีของเธอ ในขณะที่เธอยังมีใจจะถามเรื่องพ่อแม่ของเขาทั้งที่รู้อยู่แล้ว

“เสียสามีไปก่อนการหายสาบสูญไปของนาย ช่วงนั้นแม่คงเครียดน่าดูเลยเนอะ”

บอนด์ลืมตาโพลงขึ้น แลเห็นซิลวานั่งอยู่บนรถเข็นสำหรับผู้ป่วย บอนด์กระตุกข้อมือและข้อเท้า เสียงโซ่แว่วมากระทบใบหู นัยน์ตาสีฟ้ามองดูสถานการณ์รอบ ๆ อย่างรวดเร็ว

เขานอนอยู่บนเตียงสีขาวขนาดใหญ่ในห้องขนาดกลาง มีสายโซ่ติดกับเพดาน กุญแจข้อมือของเขาทำด้วยหนังสีดำและถูกล็อคให้ติดกันอยู่เหนือศีรษะ ที่หลังมือต่อกับสาย…น้ำเกลือ (เขาไม่อาจแน่ใจได้ว่ามันมีสารอะไรบ้าง) กุญแจที่ข้อเท้าก็ทำด้วยหนังแบบเดียวกัน ตรวนไว้กับเสาเตียงคนละข้างอย่างแน่นหนา บอนด์สวมเสื้อและกางเกงหลวม ๆ สีโทนเดียวกับที่ซิลวาเคยใส่ตอนถูกคุมขังที่ MI6  จงใจประชดหรือไงกันนะ นาฬิกาติจิตอลติดอยู่บนผนังเบื้องหน้า ตัวอักษรสีแดงบนแผ่นสีดำ – FR 27OCT เหนือตัวเลข 11:12 – ถ้าเช่นนั้นเขาก็สลบไปหนึ่งคืน ข้างใต้มันมีทีวีจอใหญ่ติดอยู่ ภาพเอ็มฉายอยู่ในข่าวช่อง 1

“—that which we are, we are;

One equal temper of heroic hearts,

Made weak by time and fate, but strong in will

To strive, to seek, to find, and not to yield.

 

“‘นั่นคือถ้อยคำแถลงสุดท้ายของผู้อำนวยการแห่ง MI6 ที่เรามีโอกาสได้ยินก่อนรัฐสภาจะถูกโจมตี หนึ่งวันหลังเหตุการณ์ดังกล่าวเราพบว่าเธอเสียชีวิตที่โบสถ์—’”

ซิลวากดปุ่มปิดทีวี ดึงสายตาของบอนด์ให้กลับไปมองเขาอีกครั้ง บุรุษผมบลอนด์สว่างเอียงคอพิจารณาบอนด์อยู่ชั่วอึดใจ แล้วเอ่ยว่า “ผมตั้งใจจะเก็บแผลเป็นที่หลังไว้เป็นที่ระลึกล่ะ”

บอนด์คงสีหน้านิ่งเฉย ในขณะที่ซิลวาหัวเราะระรื่น

“ผมไม่รู้ว่าคุณทำได้ยังไงจริง ๆ นะ ถ้าผมจมน้ำที่หนาวขนาดนั้น อย่าว่าแต่เหวี่ยงมีดปักหลังใคร ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสามารถตีสีหน้านิ่งขนาดนั้นได้—แต่มือคุณก็สั่นนี่นะ หลักฐานก็คือมีดพลาดหัวใจกับปอดของผมไปนี่ไง แต่ก็ต้องขอบคุณกำลังเสริมที่ตามมาทีหลังของผมด้วยล่ะนะ หลังจากที่ผมสลบไป ลูกน้องที่ตามมาทีหลังคิดว่าคุณอาจเป็นประโยชน์ก็เลย—”

“โยนแก๊สยาสลบแล้วจับเป็นฉันมาจากโบสถ์นั่น” บอนด์ต่อให้จบประโยค

ซิลวาฉีกยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ตั้งรับผมที่บ้านเก่าตัวเอง โดยไม่มีแม้แต่จะขอกำลังหนุนจาก MI6  ถึงจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ต้องการให้คนอื่นมาเกี่ยวข้องก็เถอะ ผมคาดว่าคุณคงได้คุยกับเซวารีนมาบ้างแล้วสิว่าจริง ๆ แล้วคนที่ทำงานภาคสนามในการควบคุมของผมมีอยู่ไม่มาก ทำให้คุณคิดว่าตัวเองมีโอกาสเอามะพร้าวมาล่อให้พวกเราลงหลุมไปแบบนั้นไม่ยาก

“จะว่าไปแล้ว ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคะแนนทดสอบตกต่ำของคุณคงเป็นผลจากทางด้านจิตใจมากกว่าทางกาย ตอนที่แม่สั่งให้ยิงแบบนั้นก็ใจร้ายจริง ๆ นี่นะ ถ้าจะนึกภาพดูแล้วโอกาสที่คุณจะโดนยิงก็อาจจะมีสัก 50% หรือมากกว่านั้น แปลว่าแม่เชื่อว่าโอกาสที่คุณจะชิงฮาร์ดไดรฟ์มาได้สำเร็จก่อนที่จะคลาดสายตาไปก็ท่าทางจะมีน้อยกว่า 50%  ช่างเป็นตัวทำลายอีโก้ของคุณจังเนอะ”

“คนที่มีความรับผิดชอบระดับสูงขนาดนั้นต้องตัดสินใจเลือกระหว่างโอกาสที่จะเสียฉันเพียงคนเดียวหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นทั้งหมด เราไม่ได้อยู่ในธุรกิจที่จะซื่อขนาดคิดว่าจำนวนชีวิตคนนั้นวัดกันไม่ได้ ก็ไม่ต่างกับกรณีนาย เธอเสียนายคนเดียวเพื่อ—”

“เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ฮ่ะ สมกับเป็นผู้หญิงคนนั้น ทรยศคนใกล้ตัวเพื่อเกื้อกูลคนส่วนมาก” ซิลวาฉีกยิ้ม พลางใช้มือหมุนล้อรถเข็นหันเข้ามาหาบอนด์ตรง ๆ  ดวงตาสีมืดดำฉายชัดไปด้วยความเอ็นดูปลาบปลื้ม บอนด์เสสายตาไปทางอื่นอย่างหมางเมิน ซิลวาพล่ามต่อไป “น่ารักจัง เลือกที่จะพูดปกป้องแม่โดยเมินประเด็นเรื่องของตัวเอง แปลว่าคุณปฏิเสธไม่ออกว่าความจริงที่คุณยิงเป้าหมายไกลกว่าสามเมตรได้ไม่ได้เรื่องนั้นสืบเนื่องมาจากผลกระทบทางด้านจิตใจ?”

“ก็แค่เพราะก่อนหน้าการทดสอบฉันยังอยู่ในช่วงที่สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์เท่านั้นแหละ” บอนด์ว่า

“ฮะ-ฮ่า แต่คุณเลือกที่จะเชื่อคำพูดของผมว่าคุณสอบตก มากกว่าเชื่อที่แม่บอกว่าผ่านใช่ไหมล่ะ”

“ฉันมองโลกตามความเป็นจริง” บอนด์ตอบเรียบ ๆ  อาจฟังดูขัดแย้งในตัวเองนิดหน่อย ในเมื่อนั่นแปลว่าก่อนหน้านี้เขาเลือกที่จะเชื่อคำพูดของเอ็มมากกว่าตรรกะของตนเอง ทั้งที่พอจะคำนวณได้ว่าการทดสอบยิงปืนครานั้นไม่มีทางได้คะแนนมากกว่า 50

“Mm-hmm” ซิลว่าส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงตอบรับ เขาท้าวศอกกับที่วางแขนแล้วใช้นิ้วแตะริมฝีปากอย่างครุ่นคิด “ว่าแต่ว่านะ เจมส์ ปกติคุณดื่มมากแค่ไหนเหรอ ก่อนนอน…น่าจะทุกคืนเพื่อช่วยให้หลับ? ดรายมาร์ตินี่? หรือบางทีอาจจะเหล้าสก็อต? กี่แก้วเอ่ย”

อ้อ บอนด์สบตากับดวงตาสีโคลน “แค่การลงแดงไม่ทำให้ฉันคายอะไรที่นายอยากฟังหรอก”

“อ้า ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าคุณถูกฝึกมาดี” ซิลวาบอก “นั่นไม่ใช่ประเด็น ผมตั้งใจจะฝึกคุณใหม่ต่างหาก ไม่ต้องห่วงนะเจมส์ ผมไม่มีอะไรจะติเตียนคุณ ไม่ว่าในเรื่องแผนการที่สกายฟอลล์ หรือความจริงที่คุณปล่อยให้แม่บาดเจ็บก่อนที่จะถึงมือผม แต่ในเมื่อพวกเรารอดมาแล้ว… ก็อย่างที่คุณหญิงของพวกเราชอบพูดเอาไว้ ทำแล้วเสียใจทีหลังไม่ใช่มืออาชีพ ผมมุ่งหวังที่จะสำเร็จเป้าหมายใหม่ ๆ ต่อจากนี้”

บอนด์ไม่แสดงอาการสะดุ้งสะเทือนเมื่อซิลวาใช้มือลูบบนท่อนขาด้านบนของเขา

“อาทิตย์นี้คงลำบากหน่อยนะ เจมส์” ซิลวาดูจะจมอยู่ในความคิดชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยต่อ “อีกอย่าง ถ้าผมอยากให้คุณลงแดงจริง ๆ  ผมไม่ใช้แอลกอฮอล์หรอก”

_

บอนด์โค้มกายอาเจียนกับชามเหล็กที่ถูกยื่นให้เขา

เขายังคงไม่สามารถคำนวณได้ว่าจุดประสงค์ของซิลวาคืออะไร เขาไม่เคยถูกถามเกี่ยวเนื่องกับ MI6 โดยตรง ตอนแรกเขาคาดการณ์ว่าซิลวาตั้งใจจะยื้อความทรมานของเขา—ปล่อยให้ลงแดงสลับกับให้เหล้า หรือหากเลวร้ายกว่านั้นอาจเป็นยาเสพติดชนิดอื่น แต่ก็ไม่ใช่

ไม่ได้มีแต่ซิลวาที่คอยดูเขา มีบางคนมาช่วยสับเปลี่ยนเวร ทุกคนสวมถุงมือและปกปิดใบหน้า แล้วเขากลับกลายเป็นเหมือนเด็กทารกที่ต้องให้อยู่ห่างของมีคมและมีคนคอยช่วยในทุกเรื่องตลอดเวลา

ซิลวาไม่เคยใส่ถุงมือ เขามักจะแทรกนิ้วไปตามหนังศีรษะของบอนด์ แล้วท่ามกลางความกระหายและความกระสับกระส่ายบอนด์ถึงเริ่มรู้สึกว่าซิลวาต้องชอบชื่อเจมส์บนริมฝีปากของตนมาก เขาไม่แน่ใจว่าเคยมีใครเรียกชื่อตัวเองติด ๆ กันบ่อยขนาดนี้ แต่เมื่อบอนด์เริ่มไวต่อเสียงและแสง ซิลวาก็ไม่ได้กระซิบพล่ามอะไรมาก และแม้แต่หรี่แสงไฟในห้องลงจนเกือบมืด

บอนด์มิได้เสพติดอะไรเพราะอยาก แต่เพราะมันช่วยให้เขาบังคับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้—แม้คนอื่นอาจบอกตรงกันข้าม ในขณะที่สิ่งที่เป็นอยู่นี้เป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับการได้ดื่มมาร์ตินี่สักแก้ว สามแก้ว สี่แก้วหรือหกแก้ว จะเรียกเป็น anti-martini ก็ว่าได้ มันไม่ได้ช่วยให้เขาหลับ ไม่ได้ช่วยให้เขาหยุดคิด ไม่ได้ช่วยให้เขาพอทำนายได้ว่าตัวเองจะทำอะไรบ้าง ไม่ได้ช่วยให้เขาสัมผัสความรู้สึกนั้นที่ไม่ใช่ทั้งความปิติและความเหนื่อยล้า นี่คืออะไรที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง นี่คือการสูญเสียการควบคุม

เขาหลงวันเวลาไปแล้วตอนที่ซิลวาปาดเหงื่อออกไปจากหัวคิ้วของเขา ประคองให้เขาเผชิญหน้าอีกฝ่าย และถามว่า “ใครเอ่ย”

บอนด์เห็นตา จมูกและปาก – บางอย่างที่มีชีวิตในสรรพสิ่งสีดำขุ่น

“เจมส์ นี่ใครเอ่ย”

มือคู่เดียวที่สัมผัสเขาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานวดกะโหลก เรียวปากบอนด์ขยับเป็นรูปซิลวาก่อนทันจะได้คิดอะไร และมีสุ้มเสียงกระซิบกระทบใบหูตามมาว่า “พ่อหนุ่มคนดี” บอนด์ผวาเฮือก ด้วยมันฟังดูดังก้องและแจ่มชัดในความรู้สึกกว่าความเป็นจริง

ทว่าอันที่จริง เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าความเป็นจริงมีรูปทรงแบบไหน

_

ความจริงก็คือซิลวาเคยเห็นหน้าบอนด์ก่อนที่เขาจะถูกเอ็มม่าทรยศ บอนด์ยังไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในฐานะสายลับ 00  แต่ซิลวา—หรือทิอาโก โรดริเกซในตอนนั้น—คาดว่ามันคงเกิดขึ้นในไม่ช้า ที่แน่ ๆ เอ็มม่าเตะตาผู้ชายคนนี้ เธอไม่ได้บอก แต่ทิอาโกเป็นสายลับระดับ 00  เขาย่อมรู้เรื่องพวกนี้

ทิอาโกอดคิดไม่ได้ว่าเขาชอบชื่อเจมส์ บอนด์ เพราะความห้วนและหนักของมัน ซิลวาเป็นชาวสเปน แต่เขารู้ว่าาหากดูรากศัพท์ของชื่อคริสต์แล้ว ‘ทิอาโก’เป็นรูปแบบโปรตุเกสของชื่ออังกฤษ‘เจมส์’ เขาคิดว่ามันตลกดีที่เอ็มม่าจะสนใจเจ้าหน้าที่ที่มีชื่อเดียวกับเขา

เมื่อปลายฤดูใบไม้ร่วงปี 1997 ที่อังกฤษ ทิอาโกได้ข่าวว่าบอนด์กำลังทำงานอยู่ที่ย่านเดียวกับเขาพอดี แล้วเขาก็ถือโอกาสไปสำรวจดู ทิอาโกแอบขึ้นไปที่ชั้นสองของตึกร้างข้าง ๆ โกดังที่บอนด์เข้าไปทำงาน เพียงไม่ถึงสิบนาที เขาก็เห็นบอนด์ปีนออกมาจากหน้าต่างชั้นสองของโกดังตรงข้าม ในขณะที่มีกระสุนของศัตรูตามมา

ทิอาโกรู้ตัวว่าตนมีหัวใจของชาวโรแมนติก คนปัจจุบันมักพูดกันว่ารักแรกพบไม่มีจริง เป็นเพียงการถูกใจแต่แรกเห็น แล้วพัฒนาเป็นความรักหลังจากได้เปิดปากคุยกัน แต่ทิอาโกรู้ดีกว่านั้น เขาเคยประสบกับอะไรคล้าย ๆ กันเมื่อสมัยอยู่โรงเรียน (กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เขาเรียกว่าแมททิโอ)

แต่หามีประสบการณ์ใดทาบเท่าการได้เห็นเจมส์ บอนด์

เขาเคยเห็นรูปฝ่ายศัตรูมาก่อน จึงรู้ว่าคนที่วิ่งหนีอยู่นั่นคือเจมส์ บอนด์ ทิอาโกไม่ได้อยู่ในระยะที่ห่างไกลมากนัก เสี้ยววินาทีแรกที่เขาเห็นใบหน้าด้านข้างของบอนด์ที่กำลังตวัดกายลั่นไกปืน เขารู้ทันทีว่าเขาถูกชี้ชะตามาให้อยู่ที่นั่น

ชะตาของเขาพลันถูกจำกัดเอาไว้อย่างน่าพรั่นพรึง สิ่งแรกที่ทิอาโกสังเกตคือเจมส์ บอนด์คนนี้มีผมแบบที่เรียกกันว่าผมบลอนด์ แต่แม้กระทั่งคำนั้นก็ดูไม่เพียงพอที่จะบรรยายสีผมของคนคนนี้ ก่อนหน้านี้เขานึกภาพว่าบอนด์น่าจะมีลักษณะแบบอย่างของจอห์นนี่มาดเข้มสักคน แต่สำหรับเจมส์—เจมส์คนนี้ไม่มีอะไรเรียบง่ายแบบนั้น พระเจ้า บอนด์ไม่ใช่จอห์นนี่คนหนึ่ง แล้วเขาก็เป็นมากกว่าเจมส์ทั่วไปหลายเท่า เขาไม่ใช่คนที่มีเครื่องหน้าแบบที่ชาวกรีกสมัยก่อนชื่นชม หาได้มีกลิ่นอายเดวิดของไมเคิลแองเจโล แต่นั่นคือประเด็นสำคัญ เสน่ห์ของเขาดูเหมือนจะไม่มีที่มาอีกทั้งมิมีที่สิ้นสุด ไม่มีใครที่ยิงคนด้วยบรรยากาศแบบนั้น รุนแรง เด็ดขาด ไม่โยกโย้ ไม่อัปลักษณ์

ทิอาโกสังเกตว่าบอนด์หลีกเลี่ยงที่จะฆ่า ความเป็นไปได้ก็คือบอนด์ยังไม่เคยฆ่าคนในเมื่อเขายังไม่ได้ตำแหน่ง 00 (แต่ทิอาโกแทบได้ยินเสียงตัวเองเรียกเจมส์ว่า Double-oh-_____ เรียบร้อยแล้ว) บอนด์วิ่งไปตามขอบนอกของตึกนั้นอย่างน่าหวาดเสียว ทิอาโกเคลื่อนกายตาม มือเลื่อนไปแตะที่ปืนของตน เผื่อเขาจะช่วยสกัดกระสุน แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าไม่จำเป็นต้องลงมือ

มิใช่ว่าบอนด์ดูงามสง่ายามที่เขายิงปืน ที่น่าดึงดูดคือเขาหาได้ดูโหดเหี้ยม เป็นก้อนเนื้อของความเย็นชาที่สวมเกราะบางอย่างที่กั้นตัวเขาออกจากลักษณะโหดร้าย ในที่สุดบอนด์ก็จัดการจับเป็นเป้าหมายได้ และลากเขาขึ้นรถเพื่อขับหนีไป

ทิอาโกตัดสินใจว่าถึงเขาจะไม่มีวันได้แตะต้องตัวเจมส์ในแบบที่เขาต้องการ เขาจะต้อง—จำเป็นต้องตทำความรู้จักกับเจมส์ บอนด์

บางทีเขาอาจจะพูดกับเอ็มม่า เธอเห็นค่าความเห็นของเขามิใช่หรือ ที่สำคัญเขาพอจะเก็งได้ว่าเอ็มม่าอาจได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ MI6 คนต่อไป ย่อมเป็นการดีที่จะมีคนอย่างเจมส์ บอนด์คอยรับใช้ ดูจากวิธีที่เจมส์ไล่ล่า เขามีความไหลลื่นในแบบของคนที่พร้อมจะพยศเพื่อใฝ่ทำในสิ่งที่จำเป็นและถูกต้อง—เขาต้องเหมาะที่จะทำงานให้เอ็มม่าแน่นอน

ทิอาโกกลับไปที่โรงแรมคืนนั้น และเตรียมของพร้อมเดินทางไปฮ่องกง

เขาไม่ได้มีโอกาสมองตาเอ็มม่าอีกนานแสนนาน

_

หนึ่งวันหลังจากที่พิษเสพติดแอลกอฮอล์ออกไปจากกระแสเลือดของบอนด์ เขาก็ตื่นขึ้นพร้อมกับได้ยินเสียงเพลง

Boom boom boom boom

Gonna shoot you right down

Take you in my arms

บอนด์รู้สึกร้อน กระสับกระส่ายและ—

ดวงตาสีนภาเปิดโพลงขึ้น แลเห็นซิลวาวางเข็มฉีดยาหนึ่งลงในกล่องที่หัวเตียง และครั้งนี้บอนด์หาได้สวมเสื้อผ้า

“อ้า” ซิลวาเอ่ย ขณะโน้มศีรษะลงมา มือข้างขวาเลื่อนมาแตะวงหน้าผู้ถูกกังขัง ลากนิ้วโป้งลงใต้ดวงตาสีฟ้า นิ้วชี้ตามแนวคิ้วอย่างแผ่วเบา “เวลารูม่านตานายขยายแล้วสวยดีจัง”

บอนด์กัดมืออีกฝ่าย แรงเพียงพอที่เขารู้ว่าจะทิ้งรอยช้ำเอาไว้

ซิลวาเลี่ยงบริเวณริมฝีปากของเขาในวันนั้น

แต่ส่วนที่เหลือ บอนด์คาดว่าเขาไม่มีทางเลือก แล้วเขาพยายามไม่คิดกังวลในสิ่งที่ตัวเองไม่มีทางเลือก อย่างเช่นเรื่องที่เขาต้องหลบอยู่ในห้องใต้ดินที่สกายฟอลล์ในวัยเด็ก

อันที่จริง บอนด์พยายามไม่คิดเมื่อมันเกิดขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้

ยาในเส้นเลือดของเขาไม่เพียงแต่ปลุกเร้าราคะ แต่ยังทำให้หมดเรี่ยวแรงจนยากจะดิ้นสู้ ปากของซิลวากลืนกินจุดอ่อนสะท้านกลางลำตัวของเขาเข้าไปรวดเดียว ซึ่งบัดนั้นตื่นตัวเกือบเต็มที่เพราะฤทธิ์ยา บอนด์พยายามอดกลั้นอารมณ์ พยายามนึกถึงอะไรสักอย่างที่อยู่ไกลแสนไกล ภาพบ้านที่ถูกเผามอดไหม้ของเขาไหลเวียนเข้ามาก่อนจะหายไปอีกครั้ง แทนที่ด้วยสิ่งไม่น่าพิสมัยอย่างวิธีที่ไฮโดรเจนไซยาไนด์ทำลายกระดูกบางส่วนของชายที่อยู่ตรงหน้า นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ซิลวาสามารถกลืนทุกนิ้วของความยาวแกนกาย บอนด์ได้เพียงแต่โทษยาเมื่อเขาสูญเสียการควบคุมจังหวะหายใจ เพราะไม่มีส่วนใดของสถานการณ์ตอนนี้ที่ทำให้รู้สึกดี แต่มันก็รุนแรงเดือดพล่าน และมันก็จะทำให้เขาถึงจุดหฤหรรษ์อย่างมิอาจบ่ายเบี่ยงได้

บอนด์ไม่ได้ส่งเสียงตอนที่เขาปลดปล่อยราคะเข้าไปในช่องปากอีกฝ่าย อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเสียงหอบ แต่ร่างกายของเขาก็ทำให้สิ่งที่มันมักจะทำในสถานการณ์เช่นนี้ สรรพางค์กายสั่นไหวในความร้อนเร่าที่ลามไปทุกอณู ตาบีบปิดก่อนที่กล้ามเนื้อทุกส่วนจะผ่อนคลาย ความหฤหรรษ์ผลาญเส้นเลือด

แล้วมันก็มีความเจ็บปวดแปลกพิกลตามมาหลังจากซิลวาดื่มด่ำทุกหยาดหยดของตัณหาที่ปลดปล่อยออกมาจากกายบอนด์ ความเจ็บอันคมปลาบและบาดลึก ขณะที่ซิลวาเลียจากท้องน้อยขึ้นมาเรื่อย ๆ  แล้วความระแคะระคายใต้ผิวหนังของบอนด์ก็บ่งบอกว่าฤทธิ์ยายังไม่หมดไป

ซิลวาสบตากับเขา มืดดำและ—มีธาตุบางอย่างที่ยากจะหยั่งถึง บอนด์รู้ว่าสายตานั่นจะหลอกหลอนเขา และเขาก็หลบสายตาช้าเกินไป

ความสุขสมถูกบังคับบีบรีดออกจากร่างของเขาอีกสองครั้ง โดยมีซิลวาอยู่ในกาย ครั้งสุดท้ายนั่นเขาเสร็จสมแบบแห้งเมื่อไม่มีหยาดน้ำให้หลั่งอีก แต่นั่นไม่ได้หยุดมิให้กายของเขาสะท้านเมื่อความกระหายอยากได้รับการเติมเต็ม ยามที่นิ้วเปียกชุ่มของซิลวานวดแกนกายของบอนด์ ขณะร่างหนาบดเบียดเข้ามาจากด้านบน

เมื่อหมดกำลังวังชา เขาสบตากับซิลวาอีกครั้งโดยมิได้ตั้งใจ และจำได้ว่าแววที่เขาอ่านไม่ออกก่อนหน้านี้คือบางสิ่งที่ใกล้เคียงกับความหลงใหล ในขณะที่คนตรงหน้าพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ไว้ผมจะเอาของขวัญพิเศษมาให้”

_

“พ่อหนุ่มที่รัก ผมหายไปนานแค่ไหนเอ่ย” สุรเสียงคุ้นหูร้องเป็นเพลง

บอนด์หายใจเข้าเฮือกและตื่นขึ้นจากการหลับไปวูบหนึ่ง เสียงโซ่เหนือศีรษะแว่วกระทบหู เขากะพริบตาถี่ ๆ

ยามสองคนที่คอยเฝ้าเขาและทุบโต๊ะปลุกให้เขาสะดุ้งตื่นอยู่เรื่อย ๆ ได้หายไปแล้ว และมีอายความร้อนของกายซิลวาจากด้านหลังเข้ามาแทนที่ บอนด์ขยับส้นเท้าถอยโดยสัญชาตญาณ หากข้อเท้าทั้งคู่ของเขาถูกตรวนเอาไว้กับเสาปลายเตียงเฉกเดิม เขาสวมกางเกงหลวม ๆ สีเทาอยู่ – ซิลวามักจะเห็นความจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดตัวและใส่เสื้อผ้าไม่มากก็น้อยชิ้นให้เขาก่อนจากไป ที่น่ารำคาญใจก็คือซิลวาดูชมชอบที่จะถอดมันออกเช่นเดียวกับที่ชอบอาสาช่วยบอนด์สวมอาภรณ์

ความปวดปลาบแล่นไปตามแผ่นหลังและกล้ามเนื้อแขนทันทีที่เขารู้สึกตัว ด้วยความที่คราวนี้ข้อมือทั้งสองของเขาถูกโซ่บนเพดานยื้อให้นั่งเหยียดตรง หากไม่มากพอที่จะทำให้หายใจลำบากเกินไป

แต่แล้วโซ่ก็ผ่อนแรงยื้อจากด้านบน บอนด์ทรุดฮวบลงโดยมีซิลวาประคองกายให้พิงกับแผ่นอกคนด้านหลัง เขาผงะศีรษะไปพิงกับเนินไหล่กว้างโดยไม่ทันได้คิด และหายใจเข้าอย่างยาวนาน นัยน์ตาสีฟ้าพิศดูไฟบนเพดานที่อยู่ห่างจากจุดที่โซ่ห้อยลงมา

“ที่รัก ผมถามคำถามคุณแน่ะ” ซิลวาพึมพำ “ผมหายไปนานแค่ไหนเอ่ย”

นัยน์ตาสีฟ้าหลุบมองนาฬิกาติจิตอลที่ติดอยู่บนผนังตรงข้ามเขา

“ฉันไม่ค่อยสนใจเท่าไรว่านายจะอยู่หรือไปตอนไหน” บอนด์ตอบ

กลีบปากของซิลวาเฉียดแตะที่ใบหูบอนด์ ส่งผลให้บอนด์ดึงยื้อข้อมือและผวาหนีเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ เกิดเสียงเคร้งของโซ่ก้องอยู่ที่เหนือหัว

“ผมควรจะงอนนะเนี่ย…” และคุณจะไม่ชอบเวลาที่ผมงอน “ไม่เอาน่า เจมส์ เมื่อกี้ตาคุณเหลือบดูเวลา จริง ๆ แล้วรู้คำตอบใช่ไหม” ซิลวากล่าวพลางจุมพิตผะแผ่วที่ลำคออีกฝ่าย และแนบกายเข้าไปชิดยิ่งขึ้น

บอนด์มิได้แสดงทีท่าใด ๆ เมื่อสัมผัสถึงความร้อนและตื่นตัวใต้เนื้อผ้ากางเกงของคนด้านหลัง “ก็ราว ๆ ห้าสิบชั่วโมง ถ้าสนใจนักก็คิดเลขเอาเองก็ได้นี่” เขาตอบอย่างพยายามคุมความเฉียบไวแบบเดิมเอาไว้ ทว่าสุรเสียงฟังดูแปร่งและรัวเร็วกว่าปกติ

ซิลวาสูดกลิ่นต้นคอของเขา “เสียงแข็งขันดีนะสำหรับคนที่อดนอนมาห้าสิบชั่วโมง” ในขณะที่มือใช้เข็มฉีดยาเล็ก ๆ จิ้มกับลำคออีกด้านหนึ่งของบอนด์ คนที่ถูกตรึงอยู่เพียงกลืนน้ำลายที่หนืดลำคอ ยามที่มือข้างที่ว่างของซิลวาปัดป่ายระเรื่อยมากระทั่งสอดเข้ามาใต้กางเกงของเขา นัยน์ตาสีฟ้ามองไปตรงหน้านิ่ง เขากระตุกยื้อดึงแขนและขา—คาดหวังให้ตัวเองหลุดจากพันธนาการอยู่เรื่อยไป แต่มันก็ไม่เคยได้ผล

นาทีต่อมากางเกงของเขาถูกเลื่อนให้ไปกองกับเข่า เผยให้เห็นกรงเหล็กที่กลางลำตัวของบอนด์ ล้อมรอบแกนกายไปถึงยอดที่บัดนี้เริ่มขึ้นสีแดง ทำให้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ผู้ถูกคุมขังได้ถึงจุดหฤหรรษ์ และทำให้ความกระสันอยากชวนเจ็บปวด หากหลวมเพียงพอที่จะปล่อยให้อารมณ์จางลงไปเมื่อฤทธิ์ยาเหือดหาย

บอนด์หายใจถี่ขึ้นบางเบา ราคะเข้ามาคละคลุ้งบนความเดียดฉันท์ แล้วซิลวาก็ส่งเสียงชู่วเบา ๆ ซ้ำ ๆ กับกกหูของเขา แล้วพร่ำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับขนานยานิดเดียวและเจมส์ ปลายนิ้วของซิลวาไล้เรื่อยไปตามซี่ลูกกรง และแตะผ่านกับผิวเนื้อที่ถูกกักขังภายในเสมือนเป็นเรื่องบังเอิญ ในขณะที่นิ้วหยาบอื่น ๆ เคล้นที่ฐานกลางลำตัวของเขา

“ห้าสิบชั่วโมงกับอีก…เท่าไรเอ่ย” จู่ ๆ ซิลวาก็เอ่ยถามด้วยน้ำหนักเสียงที่ดังขึ้น มือข้างหนึ่งลากบนท่อนขาของคนในอ้อมอก ในขณะที่ข้อเท้าของบอนด์ดึงขึงสายโซ่จนตรง “ตอนที่คุณบอกว่าราว ๆ ห้าสิบชั่วโมง ผมหวังว่าคุณคงไม่แอบหลับไปสองสามชั่วโมงหรอกน้า”

บอนด์งุดศีรษะลง—หอบฮั่ก

“อะไรนะ เจมส์ เมื่อกี้ส่งเสียงตอบอะไรรึเปล่า” ซิลวาถาม “ความจริงก็คือผมจริงจังนะตอนบอกว่าไม่อยากให้คุณเข้านอนก่อนผมกลับมาน่ะ แอบงีบไปบางชั่วโมงรึเปล่า ผมนึกว่ายามที่คอยเฝ้าคุณจะเสียงดังพอที่จะดึงความสนใจให้คุณตื่นเสียอีก หรือว่าคุณอยากได้อะไรที่หนักกว่านี้มาฆ่าเวลาหรือ เพราะผม…ก็ค่อนข้างจริงจังตอนบอกเอาไว้ว่าจะเลี่ยงไม่ให้คนอื่นทำคุณเจ็บ” เขาเงยหน้าและใช้นิ้วลากไปตามแนวเส้นหนังรอบ ๆ ข้อมือหนึ่งของบอนด์ “เริ่มแดงนิดหน่อยนะ ขนาดเป็นหนังนิ่ม ๆ ชั้นดีนะเนี่ย ครั้งหน้าผมให้คุณนอนสบาย ๆ แล้วกัน เดี๋ยวหาอะไรมาทาให้ด้วย” เขาดูดเม้มที่ลำคอด้านหลังของคนในอ้อมอก “แล้วถ้าจะให้ดีก็เลิกพยายามดิ้นหนีดีกว่า”

บอนด์สูดหายใจเข้า ลมหายใจกระตุกสั่นกว่าที่ตั้งใจไว้ “ห้าสิบสองชั่วโมง” เขาพูดเร็ว ๆ  “ถ้านายขี้เกียจนับเลขขนาดนั้นล่ะก็”

“อ้อ เปล่า ผมรู้คำตอบ ผมแค่อยากแน่ใจว่าคุณก็รู้ด้วย”

บอนด์เสตาไปทิศทางตรงข้ามกับที่เรียวปากของซิลวาแนบติ่งหูของเขา พยายามคุมลมหายใจให้เป็นปกติและ—สรรพางค์กายสะท้านเมื่อมือหนากลับมากอบกุมกรงเหล็กที่กลางลำตัวของเขา ทุกอย่างพร่าเลือนไปชั่ววินาที

“แล้วนี่ผ่านมากี่วันแล้ว” ฝ่ามือของซิลวาหยาบสาก หากมิได้แห้ง เขามักจะทาครีมหล่อลื่นไว้ก่อนที่จะสัมผัสบอนด์ “เจมส์?”

“ห้า” ดวงตาสีฟ้าบีบปิดลงวูบหนึ่ง “ห้าวัน”

ซิลวาจุมพิตที่ติ่งหูของเขาหนึ่งครั้ง…สองครั้ง… “พอถึงวันที่สิบ ผมอาจจะปลดล็อคให้” เขาไม่ได้ครอบครองเบียดเสียดกายเข้าไปในร่างบอนด์ตั้งแต่ที่มอบลูกกรงเป็น ‘ของขวัญ’ ให้ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองเสร็จสมทุกครั้งที่มาเยี่ยมเยือน

ยี่สิบนาทีต่อมา เสื้อเชิ้ตสีสดของซิลวาก็เสียดสีบนลำตัวบอนด์จนแสบร้อน (ซิลวาไม่เคยถอดเสื้อออก เขาประกาศตนชัดแจ้งว่าต้องการให้บอนด์สำนึกว่าตนเป็นเพียงคนเดียวที่โดนปลดเปลื้องจนเปลือยเปล่า) กระทั่งแก่นกายหนาที่เบียดเสียดกับต้นขาของบอนด์ฉีดน้ำราคะจนทั่วหน้าท้องกายเบื้องล่าง ช่วงจังหวะเวลาแบบนี้บอนด์เกือบรู้สึกว่ามันแทบมิต่างจากยามที่อีกฝ่ายสอดเสียดกายเข้ามา เข้ารู้สึกเหมือนถูกบุกรุกจนแสบสัน อุณหภูมิร้อนจนเวียนหัว แล้วยังมีกลิ่นอบอวล กลิ่นเหงื่อ กลิ่น—

บอนด์ชินกับคลิ่นโคโลญจ์ของซิลวา และชินกับกลิ่นความอยากของบุรุษเพศที่ผสมกับกลิ่นโคโลญจ์นั้น บางครั้งที่หลับตาทุกอย่างจะดูเลวร้ายขึ้น เขาจึงตัดสินใจเปิดตาในครานี้ แลเห็นวิธีที่เปลือกตาของซิลวาสั่นไหว กลีบปากหนาเผยอกระซิบผะแผ่วชื่อเจมส์เจมส์เจมส์ระหว่างที่เสร็จสม กล้ามเนื้อบนหน้าและกายของเขาดูอ่อนแรงเพียงชั่วขณะ

บอนด์ปิดตาวูบหนึ่งเมื่อความเจ็บปลาบแล่นจากท่อนกาย “ฮะ…” เขาหลุดเสียงออกมาเล็กน้อย ลำตัวสั่นระริก

เพลาเดียวกับที่สรรพางค์กายของซิลวาหยุดสะท้านวาบลง เปลือกตาหนาเปิดออก ดวงตาสีน้ำตาลดำที่ยังคงวาวด้วยประกายของคนที่เพิ่งตื่นจากหฤหรรษ์ทอดมองดวงตาสีฟ้า วินาทีต่อมาบอนด์สะดุ้งเฮือกเมื่อปลายนิ้วของซิลวานวดเคล้นเข้าที่ฐานแก่นกายของเขา

“ท่าทางวันนี้จะ…ปวดนิดหน่อยนะ มิสเตอร์บอนด์”

บอนด์เสตาไปทางอื่นพลางกะพริบตาถี่ ๆ พลางสูดหายใจเข้า ซิลวาเปลี่ยนมาใช้มือทั้งคู่ลูบตามสีข้างของเขา พลางว่า

“จริง ๆ แล้วที่ใช้เมื่อกี้เป็นแค่ยาหลอกนะ”

บอนด์กลับมาสบตากับคนที่โน้มกายอยู่เหนือเขา

“วิตามินซี” ซิลวาขยายความ

ทัศนียภาพรอบกายบอนด์พลันดูมัวพร่า ซิลวาหมุนกายออกจากตัวเขา แล้วหายตัวออกไปจากภาพทัศน์ของบอนด์ ทุกอย่างว่างโหวงขึ้นมาเฉียบพลัน ลมกายใจของบอนด์เริ่มสั่นไหว เขาพยายามจะคิด ถ้าเทียบกับผู้หญิงแล้ว ความตื่นตัวของผู้ชายเป็นเรื่องของร่างกายมากกว่าจิตใจ แม้จะไม่เต็มใจ เขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่—

ซิลวากลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูชุบน้ำสีขาว “ชู่ว ๆ ๆ…” เขาส่งเสียงอยู่ใกล้วงหน้าของบอนด์ แต่ก่อนที่จะทันได้ทำความสะอาดคราบราคะบนหน้าท้องของคนที่อยู่บนเตียง ก็จำต้องใช้มันปาดน้ำลายที่อีกฝ่ายอาเจียนออกมาเสียก่อน ซิลวาสั่งให้บอนด์หายใจช้าลง และนึกลังเลวูบหนึ่งว่าควรไปหยิบยาสงบประสาทมาหรือไม่ แต่ไม่ถึงสิบวินาที 007 ก็ทำตามคำบัญชา ซิลวาพิศดูปลายขนตาที่เปียกชื้นของอีกฝ่าย นั่นเป็นภาพอันแปลกใหม่

“แกต้องการอะไรกันแน่…จริง ๆ แล้วน่ะ?” บอนด์ถามหลังจากสูดหายใจเข้ายาว ๆ  น้ำเสียงเขาดูเหนื่อยล้าเหลือประมาณ แต่มันก็ทวีความเด็ดขาดขึ้นเมื่อเขาพูดต่อไป นัยน์ตาสีนภาตวัดมามองลึกเข้าไปในดวงตาซิลวา แล้วเกือบจะดูดุดัน “แกไม่ตั้งคำถาม แต่แกต้องมีจุดมุ่งหมายอะไรสักอย่าง หืม?”

ซิลวาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

บอนด์กล่าวต่อ “ติ๊กถูกช่องว่างไปทีละช่องล่ะสิใช่ไหม การให้อดนอน การ-การทำให้รู้สึกอัปยศ” —ทางเพศ เขาไม่อาจพูดเติมต่อออกไปได้เต็มปาก “หลังจากนี้คงจะเป็น—อะไรล่ะ การตัดขาดประสาทรับรู้ หรือขังเดี่ยว? ให้ฉันเดานะ ตัดขาดประสาทรับรู้ยี่สิบสี่ชั่วโมงอย่างต่ำ ขังเดี่ยวสัก—อ้อ หนึ่งเดือนมั้ง?”

“รู้ไหม” ซิลวาเอ่ย มุมปากข้างหนึ่งเหยียดยิ้ม “ปกติแขกคนอื่นที่ฉันเคยเจอเขาไม่ยื่นไอเดียใหม่ ๆ ให้เจ้าบ้านหรอกนะ”

บอนด์เหลือบตาขึ้นไปที่เพดาน ระบายลมหายใจสั่นไหว ความกลัวปรากฏชัดกว่าคราใดที่ซิลวาเคยเห็น ซึ่งน่าหลงใหลอย่างที่เขาได้วาดหวังเอาไว้ แต่ซิลวาพบว่าเขาไม่ได้เห็นว่าความกลัวของบอนด์น่ามองมากไปกว่าดวงตาที่เป็นสีฟ้าอย่างเหลือเชื่อนั่น ฟ้ากระจ่างเมื่อกระทบกับแสงไฟบนเพดาน แล้วแววตาของเขาก็ระริกไหวดุจผืนวารีเมื่อบอนด์เริ่มหัวเราะอย่างดูถูก

“ฉันไม่คิดว่าเรื่องพวกนั้นจะเป็นไอเดียใหม่แม้แต่นิดเดียว” บอนด์ถากถาง

“นั่นสินะ” ซิลวาเหลือบตาขึ้นมองข้อนิ้วอันสั่นเทาของบอนด์ “ก็เรามาจากรากเหง้าเดียวกันนี่นา”

“แล้วไงล่ะ” บอนด์ไซ้ “หลังจากที่นายทำลายจิตใจฉันจนไม่สามารถแม้แต่จะยิงปืนได้อีก หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ฆ่าทิ้ง? วิธีไหน มีอะไรให้ฉันประหลาดใจ?”

“Mmm” ซิลวายิ้ม “ผมว่าบางทีคุณอาจกำลังหวังจะรู้แผนการของผม เพียงเพราะว่าการไม่รู้อะไรมันน่ากลัวกว่า”

บอนด์พ่นลมหายใจทางจมูกอย่างดูถูก แล้วยังมีใจเหยียดยิ้มขณะเบือนหน้าไปทางอื่น “นั่นคือสิ่งที่พวกคนจีนทำกับนายงั้นสิ” เขามองซิลวาด้วยหางตา “ทำให้นายกลัว แล้วฉันนึกภาพว่าที่นายรอดจากไฮโดรเจนไซยาไนด์นั่นก็ได้พวกนั้นมายื่นมือช่วยด้วยงั้นสิ?” เขาหันมามองหน้าซิลวาตรง ๆ  “ทันทีที่เห็นนายกรีดร้องพวกนั้นทำยังไงล่ะ จับนายคว่ำหน้า? พยายามไม่ได้ยาพิษทำลายลิ้นของนาย ฉันพูดถูกล่ะสิใช่ไหม”

โอ้ สัตว์เลี้ยงในกรงยังมีใจจะง้างกรงเล็บใส่แน่ะ ถ้อยประโยคเหล่านั้นควรจะทำให้ซิลวาเจ็บ ไฮโดรเจนไซยาไนด์จัดการทำลายกล้ามเนื้อใบหน้าและกะโหลกส่วนหนึ่งของเขา แต่เขารู้ว่ามันไม่ได้ทำลายสมองส่วนที่ทำให้เขารู้สึกความเจ็บปวด

อันที่จริง ซิลวากำลังฉีกยิ้มกว้าง

“ใช่” เขาตอบ “ถูกแล้ว เจมส์  แต่คุณเดาผิดเรื่องแผนการของผมก่อนหน้านี้ ผมไม่มีใจจะทำอะไรร้ายแรงจนคุณสูญเสียศิลปะการทำงานของคุณไปหรอก… ตอนที่ผมถามว่าอะไรคืองานอดิเรกของคุณ คุณจำได้ไหมว่าคุณตอบว่าอะไร”

บอนด์กะพริบตาถี่ ๆ  เขายังคงมีปัญหาในการควบคุมจังหวะลมหายใจให้คงที่ อีกทั้งสมองเริ่มมัวไปด้วยความฉงน

“ผมถามคำถามคุณนะ” ซิลวาปล่อยผ้าขนหนูลงกับหน้าท้องของบอนด์ ชื่นชมวิธีที่คนตรงหน้าผวาชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนจะทาบทับกายลงบนร่างบอนด์ “เจมส์”

“การฟื้นคืนชีพ”

“Mm-hmm” ซิลวายิ้ม พลางจรดคางตนกับแผ่นอกอีกฝ่าย ถ้าเพียงแต่ดวงตาของเขาไม่ดูมืดดำ เขาคงมีสีหน้าเหมือนเด็กช่างฝันในขณะนี้ แต่แล้วรอยยิ้มนั่นก็จางลงไป “ผมตั้งใจจะให้พวกเราสามคนตายในวันนั้น—ไม่สิ—ก่อนวันนั้นนะ – ผม คุณกับเอ็ม นั่นเป็นแผนเดิม” ซิลวาละสายตาจากบอนด์และมองเลื่อนลอยไปที่อื่น “ผมนึกว่าคุณจะจมน้ำตายไปแล้วซะอีก คุณทำผมประหลาดใจตลอดล่ะ ตอนที่คุณหล่นลงไปในพื้นน้ำแข็งผมคิดว่ามันน่าเหน็บแนมสิ้นดีที่คุณรอดจากไฟเผาบ้านมาจมน้ำเย็น” เขาถอนหายใจอย่างขำ ๆ  แล้วเคลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่ใบหน้าบอนด์อีกครา “แต่สุดท้าย คุณก็ต้องทำลายแผนการนั่น แล้วตอนที่ผมรู้ตัวว่ารอดตายจากมีดที่คุณฝากเอาไว้ที่หลังของผม ผมก็เลยคิดว่า…” เขาเลื่อนมือไล้ที่ลำคอด้านหนึ่งของบอนด์ “จะฟื้นคืนชีพให้คุณไง”

บอนด์ตอบช้า ๆ ว่า “ถ้า…การฟื้นคืนชีพที่ว่าหมายถึงการคิดจะลากฉันเข้ามาทำงานให้นาย ฉันหวังว่านายคงสำนึกดีว่าจะทำไม่สำเร็จ”

ซิลวารู้สึกได้ว่าหัวใจของบอนด์เต้นแรงจากทรวงอกใต้คาง ซึ่งทำให้เขาอยากนอนอยู่เช่นนี้อีกนาน บางทีอาจจะจนกว่าบอนด์จะหลับไป – นี่ก็เกือบห้าสิบสามชั่วโมงเข้าไปแล้ว ซิลวาพบว่าเขาเอ็นดูรอยคล้ำใต้ดวงตานั่นพอ ๆ กับหยาดน้ำเปียกชื้นที่ปลายขนตาอีกฝ่าย รอยยิ้มพิกลปรากฏชัดขึ้นบนวงหน้าคร้าม บอนด์จ้องเขาเสมือนรอคำตอบอยู่นาน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดหลุดจากปากซิลวาอีกในคืนนั้น

TBC.

Posted in Writing

(Skyfall fic) Hunger (Silva/Bond)

Author: Daiong [ไดอง]
Pairing: Silva/Bond
Rating: R
Warnings: พาดพิงการใช้ยาและ BDSM, การขู่ข่มขืน
Author’s Note:
– คิดว่าหลายคนคงเคยเห็น Russian roulette กันในหนังแล้ว แต่เผื่อใครไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอย่างนั้น มันก็คือเกมเสี่ยงดวงที่ใส่กระสุนลูกเดียวไว้ในปืนแล้วเสี่ยงสลับกันยิงน่ะค่ะ c:
– Pansexual หมายถึงคนที่ดึงดูดทางเพศได้กับคนทุกประเภท (แบบได้ตั้งแต่ชาย หญิง กะเทย ฯลฯ)
– พอดีมีคนถามหา เลยเอามา repost เพราะเคยเปลี่ยนพวกฟิกซิลบอนด์เป็น drafted entries ใน exteen ตั้งแต่ตอนที่ exteen ไม่อนุญาตเนื้อหาเรทค่า เคยเขียนไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านั้น มาโพสต์อีกก็ไม่ได้แก้อะไรใด ๆ เพิ่มเลย… ช่วงนั้นมีคนร่วมกรี๊ดคู่นี้กันพอสมควร นึกกลับไปแล้วเรายังดีใจอยู่ /ซับ
– จริง ๆ Hunger มีฟิกต่อเป็น The Nature of Crucifixion ด้วย เอาไว้มีโอกาสจะมาทยอย repost ไว้ให้อ่านกันค่ะ แต่ไม่รู้จะสบโอกาสได้เขียนต่อไหม /ปาดเหงื่อ

 

* * *

 

 

 

Hunger

 

 

“อะไรทำให้นายคิดว่ามันจะเป็นครั้งแรกของฉัน”

 

“โอ้ มิสเตอร์บอนด์” ซิลวาเอ่ย แสร้งทำทีท่าเหมือนได้ตรับฟังเรื่องอื้อฉาว กายหนาผละออกมาเล็กน้อย หากมิห่างเพียงพอที่จะลดบรรยากาศหนาแน่นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ ในขณะที่มือทั้งสองลากมาหยุดอยู่เหนือเข่าของบอนด์ รอยยิ้มยังคงไม่จางหายไปจากวงหน้าเสียทีเดียว

 

บอนด์มองวิธีที่ปากข้างหนึ่งของซิลวาเหยียดยิ้ม—ไม่มีใครมีกลีบปากแบบนั้น ไม่มีใครยิ้มแบบนั้น ใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งไร้รอยยิ้มโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งมีเส้นที่มองไม่เห็นขีดกลางอยู่บนวงหน้าคร้าม บอนด์จ้องเข้าไปในดวงตาที่ดูเหมือนผิวน้ำบึงสกปรก หน่วงความหนักอึ้งของสายตาพวกเขาเอาไว้ และมิขยับไหวแม้เพียงนิดเมื่อซิลวาใช้นิ้วมือข้างซ้ายลากใต้ข้อพับขาของเขา เวลาเดียวกับที่มือขวาไล้วนอยู่ที่บริเวณใกล้ ๆ หัวเข็มขัดของบอนด์

 

ซิลวาส่งเสียงฮืมม์ในลำคอ “ถ้าอย่างนั้น “ผม…สนใจว่าคุณดึงดูดเข้าหาผู้ชายโดยทั่วไป หรือแค่กับบางกรณีเมื่อวัยหวาน ไบเซ็กฌวลหรือ Bi-curious หรือ” เข่าข้างหนึ่งแทรกไล้กับท่อนขาด้านในของบอนด์อย่างเบาอารมณ์ – ลวนลามและเตรียมตัวตั้งรับในขณะเดียวกัน

 

บอนด์ระบายลมหายใจที่ฟังดูเหมือนเสียงหัวร่อเล็กน้อย “อยากเขียนโน้ตไปเทียบกับประสบการณ์ของคุณหรือ”

 

“โอ้ ไม่ ๆ ๆ  พ่อหนุ่มที่รัก” ซิลวากระซิบตอบ พลางโน้มกายเข้ามาใกล้ขึ้น ปลายเท้าข้างหนึ่งของเขาตวัดลากขาเก้าอี้ของตนตามมา เกิดเสียงครืดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทุกสัมผัสและทุกลมหายใจดูเหมือนจะถูกกลั่นกรองออกมาโดยถูกคำนวณไว้แล้ว “ผมไม่สนใจอะไรหยุมหยิมแบบนั้นหรอก แล้วหากคุณสงสัย—ผมเป็นแพนเซ็กฌวล”

 

เสี้ยววินาทีหนึ่งบอนด์นึกอยากจะตอกกลับอย่างชาญฉลาด ทว่า— “อ้อ” บอนด์ว่า ขณะคงสีหน้าและจังหวะลมหายใจไว้เฉกเดิม แม้จะยอมรับว่านิ้วที่นวดเคล้นอยู่ใต้เข็มขัดเขาจะมิเป็นที่พิสมัยนัก บอนด์นึกสงสัยว่าบางทีสัญญาณของวิทยุที่คิวให้เขามาอาจส่งไปไม่ถึงแหล่งที่มาของมันจากเกาะนี้ กระนั้นเขาก็แน่ใจว่าสัญญาณที่เปิดตั้งแต่บนเรือก็ต้องบ่งบอกเส้นทางมาที่นี่ชัดเจนเพียงพอ เขาปลอดภัยแน่นอน ไม่จำเป็นต้องกังขาเรื่องนั้น

 

ทว่า ความคิดดังกล่าวมิได้ทำให้บอนด์รู้สึกแช่มชื่นกว่าเดิม

 

ซิลวาโค้มกายลง แล้วกลับดูมีอำนาจยิ่งขึ้นเมื่อเขาเหลือบตาขึ้นมองบอนด์จากมุมที่ต่ำกว่า ดวงตากรีดเสียงว่าหนูกระหายเลือด รอยยิ้มได้มลายหายไปแล้ว บุรุษผมสีบลอนด์ทองเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “ผมไม่อยากให้แขกผู้มีเกียรติต้องรู้สึกกร่อย บางทีเราน่าจะหาอะไรที่เป็นครั้งแรกของคุณมาทำ จริงไหม หืม?” เขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้น “เช่นการถูกข่มขืน ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคุณยังไม่เคย?”

 

บอนด์ไม่ตอบ เขาเพียงแต่เลื่อนสายตามองตามเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลมืดที่เอียงหน้าเข้ามาใกล้

 

“แต่แม้กระทั่งเรื่องนั้นก็อาจดู…ธรรมดาไปนิด” ซิลวากล่าวต่อ ปลดภาระมิให้บอนด์ต้องพูดโต้ตอบ และขยับเข้าไปให้กลีบปากเฉียดแตะมุมปากของบอนด์

 

นัยน์ตาสีฟ้าปฏิเสธที่จะเป็นฝ่ายฉีกละจากสายตาคนตรงหน้าก่อน ในใจตระหนักดีว่าซิลวาไม่คิดจะจูบจริงจัง นั่นอาจให้โอกาสบอนด์โจมตีมากเกินไป

 

“โอ คุณอยากรู้ไหมว่าผมอยากทำอะไร” ซิลวากล่าวเสียงเบา แล้วเป็นฝ่ายละสายไปเสียก่อน เขาจูบผะแผ่วที่เชิงกรามของอาคันตุกะเบื้องหน้า “ผมอยากใช้เข็มฉีดยาที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของผมกับคุณ มันมีฤทธิ์ที่เชื่อถือได้ทีเดียวล่ะ ไม่เหมือนยาปลุกเซ็กซ์ที่มีผลแบบยาหลอกพลาซิโบ แล้วก็…” จูบอันแผ่วเบาแปรเปลี่ยนเป็นการดูดเลียระเรื่อยไปถึงกกหูคนตรงหน้า ลมหายใจร้อนรดเมื่อซิลวาเปล่งเสียงอีกครา “ผมอยากเล่น Russian roulette  คุณเคยลองรึเปล่า อาจจะดูเก่า ๆ เชย ๆ ไปหน่อย แต่ในโลกอย่างเรา ๆ แล้ว กระสุนลูกหนึ่งในปืนลูกโม่นั้นไม่เคยหมดเสน่ห์ไปเสียทีเดียว เราคงเล่นกันรอบเดียว ผมจะเป็นคนเอาปืนจ่อขมับคุณและลั่นไกให้ ดีไหมล่ะ ผมนึกภาพว่าถ้าคุณโชคดีไม่เจอกระสุนนั่น ผมจะจูบคุณ—ในวินาทีที่คุณตระหนักว่ายังไม่ถูกหนูตัวเบ้งกิน มันจะเพียงแค่ช่วงจังหวะเวลาเดียวที่คุณอาจไม่ทันคิดจะกัดลิ้นผม” ซิลวาค่อย ๆ ผละกายออก พลางใช้มือลากอ้อยอิ่งตามตัวบอนด์ “โรแมนติกดีออกใช่ไหม” และแล้วนัยน์ตาไร้แววก็วูบไหวเงาแห่งผู้มีชัย “แต่ตอนนี้…หายใจก่อน… เจมส์ ไม่ใช่ว่าผมไม่กล้าเล่นกับศพ แต่ผมอยากให้คุณหายใจอยู่”

 

ดวงตาสีนภากะพริบหนึ่งครั้ง บอนด์เลื่อนสายตาจากริมฝีปากที่กำลังแย้มยิ้มใจเย็นไปยึดเหนี่ยวดวงตาของซิลวาเอาไว้เฉกเดิม เขาเผยอกลีบปากออกเล็กน้อยยามที่สูดหายใจเข้าบางเบาเชื่องช้า โดยมิแน่ใจนักว่าตนเริ่มสะกดลมหายใจตัวเองไว้ตั้งแต่เมื่อใด

 

“นั่นแหละ… พ่อคนดี” ซิลวากล่าว มีจังหวะเพลงอยู่ที่ปลายเสียง เขายืนขึ้นอย่างไว้ท่าที “แน่นอนว่าผมยินดีต้อนรับคุณในฐานะอาคันตุกะผู้มีเกียรติ แต่ว่าคุณก็ต้องทำใจชินกับอาหารของที่นี่” ครึ่งซีกของกลีบปากเขาเหยียดยิ้ม “แล้วไว้เวลาผม…”

 

ซิลวามีแผน—สิ่งที่ปรารถนา เขาคาดการณ์ว่าคงมิได้ใช้ในวันนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้ในวันหน้า บางทีในช่วงแรก ๆ การใช้ยากับบอนด์อาจเป็นสิ่งจำเป็น แต่สุดท้ายหากถูกฝึกอยู่ในสภาพแวดล้อมอันจำกัดย่อมไม่ยากที่จะปลุกเร้าอีกฝ่ายโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีภายนอก โดยเฉพาะหลังจากที่ซิลวาสลักกลอนอีกฝ่ายเอาไว้มิให้เสร็จสม ซิลวามีเครื่องมือที่เหมาะแก่การนั้นอยู่ และมีห้องที่มีอุณหภูมิเหมาะเจาะเอาไว้สำหรับยื้อดึงกล้ามเนื้อแขนสวย ๆ ของ 007 ไว้กับเพดาน แล้ว—โอ้ ผ่านไปสักเกือบเดือน มิสเตอร์เจมส์ บอนด์อาจวอนขอให้ตัวเองได้หลับนอนเมื่อเขาเหนื่อยล้าเกินไป ครั้นซิลวาถอดกรงที่ห้อมล้อมจุดอ่อนสะท้านที่กลางลำตัวเจมส์ออก (หรือมิสเตอร์บอนด์ ซิลวาจะเลือกใช้เจมส์โดยทั่วไป แต่อาจเรียกมิสเตอร์บอนด์ยามที่ปรารถนาจะลงโทษ) ซิลวาอาจนึกคึกใจดีเพียงพอที่จะใช้ปากกลืนกินเจมส์ให้แข็งขืนและขึ้นสีอย่างน่าเจ็บปวด เขาตั้งใจจะเป็นฝ่ายรุก—เสียส่วนใหญ่ เจมส์มีความอดทนเป็นสิบ ๆ ลิตรก็จริง ทว่าหลังจากอดหลับอดนอนเสีย 49 ชั่วโมง การคาดหวังให้เจมส์หลั่งน้ำตายามที่ซิลวาสอดแทรกกายเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็มิน่าจะใช่เรื่องเกินจริง เจมส์น่าจะส่งเสียงน่าฟังเมื่อเขาได้โอกาสสุขสมในที่สุดหลังจากถูกสกัดกั้นมาสัก—สามอาทิตย์ ซิลวาแม้แต่คิดปรารถนาจะฝึกให้เจมส์เรียกเขาว่าราอูลยามที่ตนต้องการ เขาคาดว่านั่นอาจเป็นเรื่องยากมากกว่าอย่างอื่น

 

แต่มนุษย์เราย่อมมีสิทธิ์ที่จะฝัน

 

และกระสันอยาก

 

ซิลวากล่าวต่อด้วยสุรเสียงแผ่วเบากว่าเดิม “เวลาผมขอ…ดี ๆ ให้คุณกรีดร้อง ผม…ไม่อยากจะเห็นคุณฝืนไม่ทำจริง ๆ นะ เดี๋ยวอาหารมื้อเลิศจะเหมือนกับกลืนยาขม” ซิลวาได้เห็นเศษเสี้ยวของความกลัว อาจจะเพียงแค่ 0.07% จากที่เขาต้องการทั้งหมด แต่ซิลวาเรียนรู้ที่จะใช้เวลาเก็บเกี่ยว

 

บางทีหนูก็หิวจนชิน จนอิ่มไม่เป็น

 

 

 

* * *

Posted in Writing

(Fiction) Art Hiatus

Author’s Notes: Written in 2012. Proofread by E. and M. back then. I’ve just… randomly decided to share one bit of this story here.

Word count: 848

* * *

Art Hiatus

Damian decided to not talk to anyone for ten days, not because he was overcome by any feelings of melancholy, but simply because he was longing for intense solitude. His head had been a bit hazy as of late, so he took a break from his painting studio. There were constant images of sketches, brushstrokes, colours and canvas in his mind as there always were – his mind and soul are Art whores, after all. Anyhow, he was on an art hiatus, for the first time since he could remember. He figured it would bring him no harm to let nothing but his memories embrace him for a while.

He often went to the park, and spent a huge amount of time staring at tree barks (they possess such extraordinary colours). More than once his thoughts linger on the only two people who were Art themselves:

  1. M. and her Green Dress: He asked Marlene, his childhood friend to be a sitter for one of his paintings. She had long, curly auburn hair, and a gracious face that could only belong to a musician. Damian—surprisingly, perhaps—had been a bit of a Holmesian since his early youth. He had always remembered that Holmes, who once observed a lady named Violet Smith, had “a spirituality about the face” which belonged to a musician. Marlene’s face radiated such graceful light; she is a singer and a pianist, after all. Damian asked to paint her naked, and was very specific how this should be done. She trusted him enough to let him undress her. It was not his nature to feel any sexual attraction towards her; there was only platonic respect from his side during the procedure, and mutual respect from hers. He took out a crystal comb from her hair, and removed the elegant silky pale-green dress which he particularly requested her to wear before he started each session of painting. He could not quite remember when—oh, no, he could—he saw Marlene wearing it the first time on her twentieth birthday party. At first glance, Marlene looked naïve in the green dress. He then perceived the daring, adventurous personality glowing from her presence. He painted her lying partially on top of her green dress on a couch—a couch which coincidentally resembled the kind Sigmund Freud had in his Vienna office.
  2. Adrien: Damian met Adrien a year after he finished Marlene’s portrait. That was when everything became too much and too little at once. Adrien was a short young man, but well-proportioned, though slightly more slender than average. He possessed neat dark hair and a pair of sharp grey, metallic eyes. The air felt almost heavy when Damian looked into those eyes. He contemplated painting the close-up of Adrien’s eyes, but he ended up doing a couple of pencil drawings instead: one in a dim light and one under a bright light. That way he could have one realistic drawing of Adrien’s irises (They are almost like ashen sunflowers, Damian mused), and another with his pupils dilated. After finishing those drawings, Damian did not want to ask much more, but Adrien was kind enough to indulge his other wishes. They were filled with a series of drawings of Adrien, many were his hands; many more were his fingertips, particularly. All drawn in pencil. He had not yet done a full-length coloured portrait of Adrien. He could not think of a suitable medium yet. To a certain extent drawing and painting media—not artists—choose themselves for the creation of artworks. Oil Paint would have a hard time bringing out the colour of his skin, and Acrylic Paint would get whiny and cranky and fussy about it even more than Oil Paint. Watercolour Paint would love to caress Adrien’s thin neck and narrow lips, but it would not dare to indulge the sight of his frame, though it might explore Adrien’s feline and somewhat restrained posture fine enough. There was always Colour Pencils as an option, but they would tend to make Adrien look pretty. Now, Damian knew Adrien had an effeminate manner, but pretty seems an inadequate a word to describe his beauty – Damian would not tolerate such portrait. Adrien may be handsome, graceful, youthful, beautiful, inspirational, and a contained sitter, and many more things, but he could not be simply pretty. On the other hand, Graphite Pencils were kind to Adrien (and Damian’s soul, for that matter). Pencils kept the ivory quality of his skin, and added something unique and special to his modern dandy style of clothing. Damian had not done any coloured artwork of Adrien yet, but he would one day. For “there is nothing that Art cannot express,” as Oscar Wilde once wrote.

Damian blinked, and dragged his hand down the tree trunk before him, almost absentmindedly. An idea popped into his mind, all very suddenly. A strikingly clear idea, it was, like a drop of ink on thin paper, spreading silently. For his next piece of work, he would try—

“Sculpture,” he whispered, in the same way he would say ‘Spectacular.’

* * *

Posted in Writing

[Maleficent/Aurora fic] Along the Muddy River (ตอนจบ)

Pairing: Maleficent/Aurora (Malora)

Rating: PG

Previous Chapter: 1.

Author’s Notes:

– ซับไทยแปล my little beastie ว่ายัยอัปลักษณ์สินะคะ… แต่เราขอเปลี่ยนนิดหนึ่งในฟิกนี้นะคะ 55

– ตอนจบแล้วค่ะ XD (อ่าว สุดท้ายเขียนไปเขียนมาก็เป็นฟิกสั้นแฮะ…) คิดยังไงเมนต์บอกกันได้นะคะ แล้วไว้จะมาตอบค่า ❤

 

* * *

 

 

 

 Along the Muddy River

2.

“ดิ-อา-วัล-จ๋า” ออโรร่าเรียกเจ้าของนามทีละพยางค์ พลางยิ้มแฉ่งเดินเข้าไปพูดคุยกับนายอีกาในร่างมนุษย์ ตอนนี้มาเลฟิเซนต์กำลังออกไปโบยบินทอดมองแผ่นดินจากบนท้องฟ้า—ที่ที่นางไม่อาจไปด้วยได้—นางจึงเข้ามาพูดคุยเล่นกับดิอาวัล ไม่ใช่ทุกครั้งที่มาเลฟิเซนต์จะปล่อยเขาไว้ในร่างมนุษย์ขณะที่นางไม่อยู่ ด้วยการทำเฉกนี้ทำให้ดิอาวัลไม่สามารถโบยบินไปไหนต่อไหนด้วยตนเองได้ แต่เท่าที่ฟังจากปากดิอาวัล มาเลฟิเซนต์ดูเหมือนจะจงใจปล่อยเขาไว้ในร่างมนุษย์เพื่อที่ว่าออโรร่าจะได้มีคนสนทนาด้วยที่เมืองทิพย์ในวันนี้

 

ออโรร่าอมยิ้มกับตนเองเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว “ดิอาวัลชอบอยู่ในร่างอีกาที่สุดนี่นะ แต่ท่านก็อยู่เคียงกายท่านแม่ทูนหัวมาตลอด… ถึงจะบ่นบ่อย ๆ… แต่จริง ๆ ดิอาวัลก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับการแปลงร่างนักใช่ไหมจ๊ะ”

 

ดิอาวัลเลิกคิ้ว “คิดอย่างไรถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาหรือขอรับ”

 

“ข้ารู้ว่าดิอาวัลยอมอยู่กับท่านแม่ทูนหัวเพราะท่านช่วยชีวิตดิอาวัลไว้ แล้วก็คิดขึ้นมาว่าการแปลงร่างนี่คงไม่เลวร้ายนักใช่ไหมน้า… อีกอย่างข้านึกขึ้นมาได้น่ะว่าไม่ได้รู้รายละเอียดอดีตระหว่างดิอาวัลกับท่านแม่ทูนหัวเท่าไร” รอยยิ้มอ้อยอิ่งอยู่บนริมฝีปากออโรร่าอยู่ตลอดเวลา “แค่คิดว่า… อยากรู้ที่มาของหลาย ๆ เรื่องมากกว่านี้จัง”

 

“ถูกของท่านที่การแปลงร่างไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก… เจ้าหญิง—มิใช่สิ ขออภัย—องค์ราชินีออโรร่า” ดิอาวัลค้อมศีรษะให้ด้วยท่าทีสบาย ๆ  “อันที่จริงแล้วข้าเป็นคนใส่ใจความงามและความสุนทรีย์ยิ่งนัก ข้าเพียงแต่เห็นว่าร่างอีกาของข้างดงามกว่าทุกร่างที่นายหญิงเคยเสกสรรค์ให้ข้า” —ถึงจุดนี้ออโรร่าก็หลุดหัวเราะ—ดิอาวัลกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้ม “แต่ทุกครั้งที่ได้แปลงร่างข้าก็ได้เห็นโลกในแบบที่มิเคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นสีสันที่ได้เห็นผ่านทางดวงตาคู่ที่ต่างจากเดิม หรือสรรพเสียงที่กระทบหู สัมผัสการจับต้อง—ทุก ๆ ประสาทสัมผัสนั้นทำให้ข้าได้ประสบการณ์อันเลอเลิศทุกครั้ง เกินกว่าที่อีกาตัวใดจะนึกฝัน” ดวงตาสีเข้มพินิจมองออโรร่า “ข้านึกภาพว่าท่านอาจรู้สึกคล้ายคลึงกันเวลาที่ท่านได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ณ เมืองทิพย์แห่งนี้”

 

ออโรร่าคิดคำนึงกับข้อสังเกตนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอ่อนเบา “จริงอยู่ที่สีสัน สัมผัสและประสบการณ์ที่นี่เลอเลิศยิ่งนัก แต่ต่างกันตรงที่ว่า… ท่านไม่ได้เห็นว่าร่างอื่นของท่านงดงามเท่าร่างอีกา… ทว่า สำหรับข้าแล้ว เมืองทิพย์งดงามกว่าที่ใด” นางหลุบตาลงวูบหนึ่ง “ดิอาวัล… ข้าน่ะ… ไม่สนใจดอกว่าท่านแม่ทูนหัวเคยมีชื่อเสียงในฐานะนายหญิงใจทมิฬเฉกใด แต่ข้านึกภาพว่าท่านแม่ทูนหัวคงผ่านมาอะไรมามาก—มากกว่าทุกสิ่งที่ข้าเคยประสบ ในสายตาของท่านแม่ทูนหัวข้าคงเป็นมนุษย์ที่ไม่ประสีประสาต่อโลกรึเปล่านะ”

 

ดิอาวัลเลิกคิ้วสูงขึ้น “ท่านควรถามเรื่องนั้นกับนายหญิงโดยตรง แต่ข้าเชื่อว่านายหญิงเห็นท่านพิเศษกว่าใคร” เขาหัวเราะหึ เดินเคียงข้างออโรร่าไปตามสายน้ำ

 

ออโรร่ามองยอดไม้ที่ต้องแสงอาทิตย์สีทอง “ข้ามีนางฟ้าแม่ทูนหัวเพียงคนเดียว…” นางสบตาดิอาวัล “แต่นายหญิงของท่านรับบทบาทแม่ทูนหัวของทุกชีวิตในเมืองทิพย์นี่”

 

ดิอาวัลยิ้ม พลางส่ายหน้า “อย่าเทียบผู้อยู่ในความปกครองกับคนสำคัญเลย องค์ราชินี นี่แน่ะ – ประชาชนของท่านมีราชินีเพียงผู้เดียว แต่ท่านรับบทบาทราชินีของทุกคนในเมืองมนุษย์”

 

ออโรร่าชะงักงันไปชั่วขณะ แต่แล้วนางก็หัวเราะสดใส เรียกรอยยิ้มจากทูตตัวเล็กสองตัวข้างแม่น้ำ

 

ดิอาวัลสบตานาง ยิ้มอ่อนโยน “องค์ราชินีออโรร่าเป็นมนุษย์ หากมิใช่เพียงแค่มนุษย์ในสายตาของข้า แล้วข้าก็เชื่อว่านายหญิงไม่ได้มองท่านเป็นแค่มนุษย์เช่นเดียวกัน” เขาเลื่อนสายตาไปมองทิวทัศน์เบื้องหลังนาง พลางผงกศีรษะ “ถามนายหญิงดูเถิด”

 

ออโรร่าเอี้ยวคอมองด้านหลัง แลเห็นนางฟ้าแห่งเมืองทิพย์โฉบบินลงมาพอดิบพอดี นางฉีกยิ้มกว้าง “ท่านแม่ทูนหัว”

 

“ยายปิศาจน้อยของข้า” มาเลฟิเซนต์ตอบรับ อำนาจเคลื่อนตัวอยู่ในอากาศรอบกายนาง กระนั้นรอยยิ้มบนริมฝีปากก็แฝงความเอ็นดูอยู่ แม้นางจะแสดงสีหน้าคล้ายทูตที่กำลังปรารถนาจะก่อกวนอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเพลา

 

“ข้าเพียงแต่กำลังพูดคุยกับดิอาวัล—” ออโรร่าเริ่ม นางหันไปหานายอีกา ทว่ากลับเห็นแผ่นหลังของดิอาวัลที่กำลังเดินจากไป

 

“เขาเป็นอะไร ข้าลืมให้อาหารนกกับเขาหรืออย่างไร” มาเลฟิเซนต์พูดหยอก พลางขำเล็กน้อย กระนั้นนางก็มองตามดิอาวัลไปอย่างสงสัย

 

ถามนายหญิงดูเถิด ถ้อยคำของดิอาวัลดังขึ้นอีกครั้งในห้วงคำนึงของออโรร่า สีหน้าของนางพลันนิ่งลง ทำให้รอยยิ้มของมาเลฟิเซนต์จางลงไปด้วย ท่ามกลางพวกเขามีเพียงเสียงวารีไหลผ่าน แต่แล้วออโรร่าก็ช้อนสายตามองใบหน้าของมาเลฟิเซนต์ พินิจมองนัยน์เนตรอันสุกสกาวเรืองวาว เครื่องหน้าที่ดูคม งดงามปนแข็งกร้าวของนาง

 

“ข้าไม่เคยถูกผู้ใดเกลียดชังเลย” ออโรร่าเอ่ย

 

มาเลฟิเซนต์จ้องมองดวงหน้าหวาน ก่อนจะเลื่อนมือไปลูบศีรษะอีกฝ่าย “ไม่ เจ้าไม่เคยเลย” มันเป็นหนึ่งในพรที่ข้ามอบให้เจ้า ให้เจ้าได้รับความรักจากทุกผู้คนที่พบเจ้า

 

“ท่านเป็นคนปลุกข้าจากนิทรา” ออโรร่าเอ่ยอีกประเด็นหนึ่งขึ้นมา

 

ครานี้มาเลฟิเซนต์หลุดขำเบา ๆ  นิ้วมือไล้ไปตามเกศาทอง “ใช่แล้ว ยายปิศาจน้อย เรื่องนั้นเจ้าก็รู้อยู่แล้วนี่ มีอะไรในใจเจ้าฤๅ บอกข้ามาเถิด”

 

“ที่เมืองมนุษย์มีบันทึกเขียนไว้… ท่านแม่ทูนหัว มีบันทึกพรของเหล่านางฟ้าทั้งสามและของท่าน – บันทึกไว้คำต่อคำ” ออโรร่ายิ้มละมุน แววตาส่องประกายความพิศวงใจแทนที่จะหม่นเพราะความขัดเคือง “สิ่งที่ข้าเป็น… สิ่งที่ข้ามี… ข้ามายืนอยู่ ณ ตรงนี้ได้โดยมีท่านเป็นผู้ขับเคลื่อนชีวิต แล้วพรของท่านนี่เองที่ทำข้าตระหนักว่า… ความรักที่ได้รับจากทุกชีวิต—ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใด—ช่างอบอุ่นนัก แต่ในขณะเดียวกัน… ก็ยากที่ข้าจะแยกออกได้ว่า—” สุรเสียงไพเราะกลับสะดุดหยุดลง ออโรร่าเม้มปาก ดวงตาของนางสะท้อนความรู้สึกของสายลมแปรปรวน หากอบอุ่น – ดวงตาของนางเป็นสีของท้องฟ้าและผืนหญ้า มาเลฟิเซนต์สังเกตเรื่องนี้มาตลอด หลายครั้งมันคือสีฟ้าของท้องฟ้ายามบ่าย แต่นัยน์ตาของนางก็มีสีเขียวเจืออยู่ด้วย—หากจ้องดูอย่างใกล้ชิด

 

มาเลฟิเซนต์ขยับเข้ามาใกล้ออโรร่ายิ่งขึ้น โน้มศีรษะลงเล็กน้อย พลางว่าเสียงอ่อน “ข้าฟังอยู่ ยายปิศาจน้อย”

 

“บางครา… ก็ยากที่ข้าจะสัมผัสได้ว่าความรักของใครพิเศษกว่าของใคร ความรักของผู้ใดที่เป็นรักแท้ ความรักแบบใดกันที่คู่รักพึงจะมี ข้าไม่อาจ—ข้าไม่ได้รู้สึกถึงความรักในรูปแบบเดียวกับที่ฟิลลิปมีให้ข้า ทว่ากับท่าน… ความรู้สึกที่ข้ามีต่อท่านมีพลังเหนือความรู้สึกอื่นใด” ออโรร่าสบตามาเลฟิเซนต์ พลันสายลมในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นแม่น้ำที่ไหลลึก แม่น้ำที่กำลังเคลื่อนไหวต่อไป ต่อไปอย่างต่อเนื่อง “ในวันที่ข้ารู้ว่าท่านคือทูตเจ้าของคำสาปแห่งนิทรา ข้าปฏิเสธไม่ให้ท่านแตะต้องตนและกล่าวว่าท่านเป็นความทมิฬบนโลกา ข้าอยากกล่าวขออภัย… แม้มันจะช้าไปมาก แต่ว่า—ได้โปรดอย่างเพิ่งพูดขัดข้า ท่านแม่ทูนหัว—ไม่สิ ท่านมาเลฟิเซนต์แห่งนครทิพย์ ตัวข้าในวันนั้นที่ยังอายุไม่ถึงสิบหกปี—มิเคยต้องทุกข์ร้อนกับสิ่งใดเกินเพลาหนึ่งวัน—ได้กล่าวโทษตัวท่านที่ข้ารักกว่าผู้ใด เพราะข้าในตอนนั้นปวดร้าวเหลือเกินเมื่อตระหนักถึงการหลับใหลที่อาจมาเยือน โดยที่ข้าอาจไม่มีวันได้ใช้ชีวิตร่วมกับท่านที่นี่ ในช่วงเวลาชีวิตอันแสนสั้นที่ผ่านมาของข้านี้… ข้าเห็นอนาคตของตนกับท่าน—กับท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น… ข้า—” ออโรร่าหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง

 

นางไม่แน่ใจว่ากำลังพูดสิ่งใด เพื่อสิ่งใด นางเพียงแต่รู้ว่านางจำเป็นต้องพูด

 

มาเลฟิเซนต์จ้องนางราวกับค้นพบทรัพย์สมบัติที่เป็นปริศนามาตลอด—มิได้—ค้นพบผืนปฐพีหนึ่งที่นางไม่เคยได้เห็น เบื้องหน้าของนางนี้คือผืนดินหนึ่งที่กำลังรวมตัวกับอีกผืนดินหนึ่ง ดอกไม้ ทุ่งหญ้าและต้นไม้กำลังงอกงาม เมฆกำลังเคลื่อนออกจากแสงอาทิตย์ ออโรร่าในตอนนี้เปล่งแสงและสรรพสีของธรรมชาติแจ่มชัดกว่าคราใด ดวงตาของนางสื่อความรู้สึกอย่างบริสุทธิ์ใจและละทิ้งทุกสิ่งที่เคยขวางกั้น ออโรร่ากำลังเปล่งแสงบางอย่างที่มาเลฟิเซนต์ไม่นึกฝันว่าจะได้เห็น

 

และแล้ว มาเลฟิเซนต์ก็ก้าวเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นจนกายพวกนางเกือบสัมผัสกัน ปีกของนางขยับไปด้านหน้า ล้อมทั้งตัวนางและตัวออโรร่าไว้ ส่งผลให้แสงอาทิตย์ที่ทอดลงบนใบหน้าของออโรร่าจางลง กระนั้นก็ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวมากขึ้น และปกป้องตัวออโรร่าจากสายลมที่พัดมาแรงขึ้นเล็กน้อยในตอนนี้ ดวงตาเรืองวาวของมาเลฟิเซนต์ฉายแววอัศจรรย์ใจ ก่อนที่นางจะกระซิบถามว่า “เจ้ารักข้าหรือ เจ้ารักข้าเฉกใบไม้รักแสงอาทิตย์ และเฉกดินรักสายฝนหรือ”

 

ออโรร่าสบตากับอีกฝ่าย นางมิได้ดูสับสนกับคำถามของอีกฝ่ายแม้เพียงนิด วิญญาณ์มนุษย์ของนางหยั่งถึงวิญญาณ์ทูตของมาเลฟิเซนต์ พวกนางกำลังพูดภาษาเดียวกัน ออโรร่าพยักหน้า ดวงตาดูใคร่รู้และระริกไหวไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก นางถามเสียงแผ่วว่า “ท่านเล่า ท่านมาเลฟิเซนต์รักข้าเฉกลูกทูนหัวเพียงเท่านั้นหรือ”

 

“มิได้” มาเลฟิเซนต์ตอบ “ข้ารักรอยยิ้มของเจ้ายิ่งกว่าปีกของข้า และรักเจ้ามากกว่าสิ่งใดที่ข้าเคยได้พบพานหรือรู้จัก”

 

มือของออโรร่าเลื่อนไปแตะปีกข้างหนึ่งของมาเลฟิเซนต์ ผลักมันออกเพียงเล็กน้อยเพื่อให้แสงอาทิตย์แตะต้องใบหน้าของนางและของมาเลฟิเซนต์มากยิ่งขึ้น นางเขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อย เพียงพอที่จะทำให้ปลายจมูกของนางแตะต้องกับปลายจมูกของอีกฝ่าย ออโรร่ามองลึกเข้าไปในดวงตาที่ส่องแสงดวงดารา น้ำตาแห่งความปิติเอ่อขึ้นที่ขอบตา นางรู้สึกจุกในลำคอ แต่ก็สามารถเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมาได้ในที่สุด “พวกเราเคยพบกันในความฝัน ใช่ไหมคะ”

 

“ใช่” มาเลฟิเซนต์หลุบตาลง อิงหน้าผากกันและกัน “พวกเราเคยพบกันในความฝัน… ณ ที่นั่นข้าเคยพยายามช่วยเจ้าจากคำสาปของข้า”

 

ออโรร่ายิ้มกว้าง นางหัวเราะขณะที่หยาดน้ำตาไหลลงมาจากดวงตาข้างหนึ่ง “ข้าหลงรักท่านครั้งหนึ่งในความฝัน”

 

 

 

THE END.

Posted in Writing

[Maleficent/Aurora fic] Along the Muddy River

Pairing: Maleficent/Aurora (Malora)

Rating: PG

Author’s Notes:

– ไปดู Maleficent แล้วความสัมพันธ์ของสองคนนี้ค้างอยู่ในหัว เลยอยากเขียนดูค่ะ /พบว่าเป็นหนังที่อยากเขียนฟิกขยายความมาก 5555 (ไม่ได้เขียน femslash มานานแล้วแฮะ…) เขียนออโรร่าไม่ค่อยถูกใจตัวเองนัก (พยายามจะเขียนตัวนางแบบพยายามจะโตขึ้นต่อจากในหนัง 55) แต่ยังไงก็ขอแชร์ไว้ ณ ที่นี้แล้วกันค่ะ

– ตอนแรกกะจะเขียนฟิกสั้นมหาสั้น แต่ทำไมมันไม่จบ งั้นตัดตอนไปก่อน… ไว้จะมาต่อค่ะ o<-< เมื่อก่อนเน้นอัพฟิกที่แต่ละบทจะยาว ๆ… แต่หมู่นี้คงอัพไปทีละนิดมากกว่า (อัพบทยาวแล้วเราจะแอบกดดันตัวเอง ฮา) ไม่ซีเรียสเนอะคะ

 

* * *

 

 

 

 Along the Muddy River

 1.

 

“ท่านแม่ทูนหัวไม่ต้องพาข้าไปนอนในวันนี้นะคะ” ออโรร่าเอ่ยขึ้นระหว่างนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ที่ย้อยลงมาใกล้สายน้ำ ปละปล่อยให้ปลายนิ้วเท้าปัดผ่านผิวน้ำวารี คิ้วข้างหนึ่งของมาเลฟิเซนต์เลิกขึ้นคล้ายแปลกใจ มุมปากขยับเป็นรอยยิ้ม ออโรร่าอมยิ้ม ก้มพินิจก้อนกรวดที่อยู่ในน้ำ พลางว่า “ข้ามักจะลืมตาตื่นขึ้นมาขณะนอนอยู่บนเตียงอันคุ้นเคย ผ่านค่ำคืนที่ไร้ฝัน… หลับสนิทและสบายอย่างที่สุด ค่ำคืนส่วนใหญ่ในชีวิตของข้าเป็นเช่นนั้น… ครั้นข้าได้เริ่มปกครองราชอาณาจักรมาเพียงไม่นาน ข้าก็พบว่ามิใช่มนุษย์ทุกคนที่สามารถหลับได้เฉกนั้น” ออโรร่ามองมาเลฟิเซนต์ด้วยสายตาอ่อนโยน “ในคืนนี้ข้าปรารถนาจะครุ่นคิดอะไรก่อนเข้านอน จึงไม่ต้องการให้ท่านช่วยข้าให้ข้าหลับสนิทในวันนี้ ท่านนางฟ้าแม่ทูนหัวของข้า”

 

“โอ้ เรื่องที่อยากครุ่นคิดนั้นใช่เรื่องที่เจ้าปฏิเสธคำขอแต่งงานของเจ้าชายฟิลลิปรึเปล่า” ดิอาวัลแทรกถามขึ้นมา แต่แล้วก็ดูชะงักงันไปเมื่อมาเลฟิเซนต์ปราดตามองมาที่เขา

 

ออโรร่าหัวเราะ “ไม่ใช่เสียทีเดียวดอก… ข้า… เพียงแต่หวนคิดถึงเหล่าคำถามที่ข้ายังมิได้แสวงหาคำตอบ บางอย่างก็เป็นเพียงเรื่องเก่า ๆ… แต่ก็จริงอยู่ที่เรื่องของฟิลลิปอาจทำให้ข้าฉุกคิดหลายอย่างขึ้นมาได้ ข้ามิใช่เด็กเฉกกาลก่อน ข้าต้องตัดสินใจด้วยความคิดพิเคราะห์ของข้าเอง และรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนมากขึ้น…”

 

ดิอาวัลอ้าปาก แต่แล้วเขาก็กลายร่างเป็นอีกาเสียก่อนเมื่อมาเลฟิเซนต์ขยับข้อมือ จึงเกิดเพียงเสียง แกว๊ก เท่านั้น อีกาจ้องมาเลฟิเซนต์ นางทูตแห่งเมืองทิพย์เพียงผงกศีรษะให้ ดิอาวัลจึงบินห่างออกไป ปล่อยให้มาเลฟิเซนต์ได้มีเนื้อที่สนทนากับเจ้าหญิงแห่งเมืองมนุษย์โดยไม่ข้องเกี่ยว

 

ออโรร่าหยุดแกว่งเท้ากับน้ำแล้ว พลางทอดมองทิวทัศน์เบื้องหน้า “พระบิดาของข้า…”

 

มาเลฟิเซนต์นิ่งฟัง นี่ไม่ใช่การเริ่มต้นประโยคที่ข้าคาดไว้

 

“ข้าทราบว่าผู้เป็นพ่อได้สิ้นชีวาไประหว่างการต่อสู้กับท่าน แม่ทูนหัว แล้วข้าก็ได้รู้แล้วว่าพระบิดาคือผู้ที่ขโมยปีกของท่านมา… แต่ก็ไม่เคยถามไถ่เรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้เลย”

 

“ข้าไม่ปรารถนาจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากไปกว่าที่ข้าเคยบอกเจ้า” มาเลฟิเซนต์กล่าว สีหน้าดูนิ่งลง หากแววตายังเจือความอ่อนโยน

 

ออโรร่าเพียงมองกลับไปด้วยดวงตาไร้เดียงสาเฉกเคย ไร้คำกล่าวหาหรืออารมณ์ขัดใจอันใดแม้อีกฝ่ายจะเลี่ยงเล่าเรื่องที่นางใคร่รู้ นางเพียงแต่เปลี่ยนเรื่องไปด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ “ท่านเคยตกหลุมรักใครสักคนรึเปล่า ท่านแม่ทูนหัว”

 

มาเลฟิเซนต์โคลงศีรษะ “เคยสิ”

 

ออโรร่าแย้มยิ้มและหัวเราะ สีหน้าคล้ายเด็กกำลังรอฟังนิทาน กระนั้นก็ดูเจือความฉงนสงสัยมากกว่าความกระตือรือร้น “แล้วตอนนั้นมีความสุขไหมคะ”

 

เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยสุรเสียงอ่อนโยนที่นางฟ้าแห่งเมืองทิพย์ใช้กับออโรร่ามากกว่าผู้ใด

 

“เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของข้า ทว่ามันคงอยู่เพียงสิบกว่าปี”

 

ดวงตาของออโรร่าฉายแววสงสัยยิ่งขึ้น นางเขยิบมาใกล้ผืนดิน ก่อนจะทิ้งกายลงจากกิ่งไม้ใหญ่ เท้าข้างหนึ่งทิ้งลงบนขอบสายน้ำ ทำให้ชายกระโปรงสีฟ้าเปียกปอน – นางเป็นคนที่ไม่เคยระวังเรื่องนี้เลย มาเลฟิเซนต์คำนึง ออโรร่าจะก้าวอยู่บนโคลน เนื้อดิน ผืนหญ้า และสายน้ำตื้น ๆ ราวกับสิ่งเหล่านั้นเป็นหนึ่งเดียวกับนาง ไม่เคยหวาดกลัวที่จะเปรอะเปื้อน ไม่เคยหวาดกลัวที่จะถูกทำร้าย

 

ออโรร่าโถมเข้าไปกอดรอบลำคอของมาเลฟิเซนต์ นิ้วมือเล็กบางสัมผัสเส้นผมของนางฟ้าแม่ทูนหัวที่ครั้งหนึ่งเคยถูกซ่อนภายใต้มกุฏทมิฬ

 

“ช่วงเวลาเช่นนี้มีความสุขเท่าคืนวันเหล่านั้นไหมคะ” ออโรร่าถาม

 

ก่อนที่มาเลฟิเซนต์จะทันได้ขยับตัว สตรีเบื้องหน้าก็ผละออกเสียก่อน

 

ออโรร่าหลุดสรวลหัวเราะเป็นทำนองเดียวกับสายลม แม้จะมีท่าทีขัดเขินกึ่งลนลานเล็กน้อย “ข้าหมายถึง—แม้ความรู้สึกคงไม่เหมือนกัน—ก็หวังว่าตอนนี้ท่านจะมีความสุขสงบที่สุด… ด้วยตั้งแต่ข้าจำความได้ การได้อยู่กับท่าน ณ เมืองทิพย์นี้เป็นช่วงเวลาที่ข้ามีความสุขที่—”

 

“มีสิ” มาเลฟิเซนต์ตอบ ไร้ซึ่งความลังเลในน้ำเสียง หากดวงตามองออโรร่าอย่างพินิจ ก่อนจะพูดเสริมขณะที่ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ “แต่ก็ถูกของเจ้า… ความรู้สึกมันไม่เหมือนกันกับเมื่อกาลนั้นที่ข้าเคยตกหลุมรักครั้งแรก”

 

เสียงสรวลพลันสะดุดหยุดลง บางอย่างในประโยคนั้นทำให้ออโรร่าได้แต่นิ่งงันมองมาเลฟิเซนต์อยู่ครู่หนึ่ง กระนั้นนางก็ขยับยิ้มอีกครั้ง หากรอยยิ้มนั้นดูต่างจากรอยยิ้มปกติ ราวกับทำนองดนตรีในภาษากายของนางกำลังบรรเลงอย่างติดขัด นางเพียงแต่ค้อมศีรษะให้มาเลฟิเซนต์ พลางว่า “อากาศเริ่มเย็นขึ้นแล้ว ข้าขอตัวไปนอนก่อนนะคะ” เมื่อนางยิ้มกว้างให้มาเลฟิเซนต์อีกครั้งก่อนจะหมุนกายจากไป ทำนองดนตรีของออโรร่าก็หวนกลับมาลื่นไหลอีกครา เริงรื่นระคนนุ่มนวล ราวกับไม่ได้มีสิ่งใดรบกวนจิตใจของนางก่อนหน้านี้เลย

 

มาเลฟิเซนต์เพียงแต่ยืนนิ่งข้างสายน้ำ นัยน์เนตรมองตามเกศาทองที่เปล่งประกายในแสงจันทร์

 

 

 

 TBC.