Posted in Writing

[MIS ficlet] A Love Letter: For the Love of Christmas

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ
 เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: [MIS] Christopher Blank – December
.
.
.
Rating: PG
Word count: 418
A Love Letter series: #1 Unconditionally Yours
Note: ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะเก็บ/เขียนเป็น series แต่อย่างใด แต่ก็แปะลิงค์รวมกันไว้ตอนอัพอันใหม่เผื่อจะหาง่าย ๆ

.

.

.

.

.

.

A Love Letter: For the Love of Christmas

.

.

.

[พับกระดาษจดหมายไว้ในถุงเท้าเล็ก ๆ ที่ถักมา]

Image

.

.

.

คุณซานต้า

 .

ผมมีคนรักคนหนึ่งครับ เป็นคนรักที่ทำให้ผมทั้งรู้สึกเป็นที่รักมากกว่าใคร มันเหมือนมีพลุอยู่ในอกเป็นบางครั้งเมื่อเขาบอกรัก มีสีสัน เต็มตื้น อุ่นร้อนและส่องประกาย  เป็นความสุข  ทั้งความสุขในแบบที่ผมลืมเลือนไปตั้งแต่เมื่อครั้งยังเยาว์และความสุขที่เพิ่งได้รู้จัก ถ้าคนคนหนึ่งต้องใช้เวลาสามสิบปีกว่าจะได้ทักทายกับความสุขที่บริสุทธิ์แบบนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุดที่มีชีวิตอยู่ ผมขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้ผมไม่ทิ้งชีวิตตัวเองไปก่อนหน้านี้ในเวลาอันยากลำบาก

 .

ปีนี้ผมจึงขอขอบคุณคุณซานต้าที่ทำให้ผมได้พบและได้รักกับเขา ขอให้เราได้ใช้เวลาในช่วงเทศกาลคริสต์มาสร่วมกัน ขอให้ผมทำให้เขาหัวเราะได้เยอะ ๆ… ได้มากกว่าที่เคยทำมา หากมีเหตุใดที่ผมพลั้งพลาดทำให้เขาเสียใจก็ขอให้ผมแก้ไขมันได้ ถ้าหากเขามีเหตุต้องเสียน้ำตาก็ขอให้เป็นเพราะความสุข จากคริสต์มาสนี้ผ่านพ้นไปถึงคริสต์มาสหน้าก็ขอให้ผมยังสามารถทำให้เขาหัวเราะหรือร้องไห้อย่างปิติยินดีได้

  .

ขอให้พวกเราได้มีวันที่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนสักแห่ง แล้วเมื่อถึงวันนั้น… หากเขาไม่เอ่ยปากก่อน ผมคงเป็นฝ่ายขอเขาแต่งงานเอง (หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นฝ่ายขอบ้าง เพราะอันที่จริงเขาก็เคยพูดมาก่อนแล้วเหมือนกัน—ครั้งล่าสุดทำให้ผมยิ่งรู้สึกถึงแหวนบนนิ้วนางชัดเจนกว่าเดิม) นับจากจุดนั้นถึงจะมีชีวิตที่ยากลำบากหรืออย่างไร ก็ขอให้ยังได้บอกรัก กอดเขา จูบหน้าผากของเขา แล้วยังได้เห็นใบหน้าของเขาเปล่งแสงด้วยความสุขอันอบอุ่นเรื่อยไป

  .

คุณซานต้า มีหลายครั้งที่ผมสวดอ้อนวอนเมื่อยังเล็ก กระทั่งหมดความกล้าที่จะนึกฝันอะไรมานานแสนนาน ทุกความปรารถนาที่ผมกล่าวมาในจดหมายฉบับนี้ก็มากเกินกว่าที่ผมเคยนึกฝันมาตลอด เพียงแค่พวกเรารักกันในวันนี้ผมก็รู้สึกเหมือนชีวิตทุกวันเป็นของขวัญอันล้ำค่า ต่อให้พวกเรามีเพียงเท่าที่มีอยู่นี้… ผมก็นึกขอบคุณคุณซานต้าอย่างเหลือประมาณแล้วล่ะครับ

 . 

สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ คุณซานต้า

เรจินัลด์

Posted in Reviews

(Film Review) The Hobbit: The Desolation of Smaug

ไปดูมาแล้วทั้งแบบธรรมดาและ 3D… จขบ.ว่าแบบ 3D ลื่นตากว่า สวยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกันนะ รวมๆแล้วสนุกสนานบันเทิงดี เชียร์ให้ทุกคนได้ดู แต่ว่าถ้าจะให้ติแบบเวิ่น ๆ ก็มีพอสมควรล่ะ

SPOILERS! นะคะ ใครไม่อยากถูก spoil ก็ปิดไปเสียเถิด (อีกทั้งยังพาดพิง spoil เบา ๆ ไปถึงไตรภาค The Lord of the Rings ด้วย) /พาดพิงหนังสือด้วยหน่อยหนึ่ง

.

.

.

.

.

.

The Hobbit: The Desolation of Smaug

2013, กำกับโดย Peter Jackson

Image

Thranduil [to Thorin]: Do not talk to me about the dragon’s fire, I know its wrath and the sufferings it causes. I warned your grandfather about what his greed would bring. He did not listen to me. You’re the same.

– จขบ.กะอยู่แล้วประมาณหนึ่งว่าภาค 2 คงเต็มไปด้วยบู๊แหลกลาญซะมาก ซึ่งก็เป็นแบบนั้น แล้วมันก็สนุกมากเลยนะ เสียแต่ให้ความรู้สึกกระจุยกระจาย ช่วงหลังๆยืดเยื้อประมาณหนึ่ง โดยรวมแล้วด้านเอฟเฟ็คและฉากมันให้ความรู้สึกดูมืด ๆ ขึ้นกว่าภาคที่แล้ว แต่ทางด้านความรู้สึกก็ไม่ได้ดาร์กอะไร

– ดูภาคนี้ให้ความรู้สึกว่าจริง ๆ The Hobbit แบ่งเป็นสองภาคแทนคงจะดีกว่า จำได้ว่าลุง PJ ตัดสินใจแบ่ง The Hobbit ออกเป็นสามภาคแทนสองภาค แล้วภาคนี้มันให้อารมณ์เหมือนตัดสินใจเติมบทช่วงท้ายเพื่อสร้าง climax ให้ภาคสองมากเลยแต่เกลาบทช่วงท้ายมาไม่ดีเท่าช่วงแรก เพราะหลายฉากในครึ่งหลังมันให้ความรู้สึกว่าไม่จำเป็นเลย แต่ก็โอเค๊ ดูแล้วก็ยังรักนะตัวเอง พอจะเก็ทว่าภาคระหว่างกลางคงทำยาก เพราะเป็นภาคที่อยู่ระหว่างจุดเริ่มต้นและบทสรุปพอดี

– ชอบบทของบีออร์นมากกก คิด ๆ ดูแล้วก็ชอบบทในตอนแรกตั้งแต่ที่บิลโบโผล่จนกระทั่งออกจากบ้านบีออร์นทั้งหมด ดูแล้วรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นการส่วนตัว ที่บ้านบีออร์นก็รู้สึกว่าเป็นบรรยากาศที่ดีให้เหล่าคนแคระให้พักผ่อนหย่อนใจ ระคนถูกเตือนและสั่งสอนเบา ๆ /ประทับใจ

– PJ เขาถ่ายทำเก่งดีค่ะ ฉากที่ให้จะมึนก็ดูมึน จะเหม็นก็ดูเหมือนจะเหม็น ถึงรสถึงเนื้อดี… ชอบ cinematography มาก ดูเป็น 3D แล้วสวย ดูแบบธรรมดามุมกล้องก็ไม่รู้สึกขัดนะ

– ชอบเพลงประกอบมาก เพลงที่จขบ.รักเป็นพิเศษคือตอนที่บิลโบโผล่หัวจากต้นไม้ในเมิร์กวู้ด เพลงตอนเข้ามาถึงเมืองทะเลสาบ กับเพลงตอนเปิดประตูเอเรบอร์ได้ XD

– ฉากที่จขบ.ชอบที่สุดใน DoS คือตอนที่บิลโบลืมตัวฆ่าปูยักษ์ (หรืออะไรสักอย่างที่คล้าย ๆ…)  ชอบที่มันโผล่มาแล้วไม่ได้ดูดุร้ายแบบแมงมุมอื่น โทนสีก็อ่อน ๆ  อารมณ์ตอนแตะโดนแหวนก็ด้วยความไม่รู้ด้วยซ้ำ เจ้าปูก็ไม่ได้โจมตีอะไรบิลโบก่อน แต่บิลโบพุ่งไปเฉาะจนมันตายแล้วเก็บแหวนคืนมา ประทับใจสุด ๆ  YvY,,

– วังวู้ดแลนด์ ณ เมิร์กวู้ดมันคล้ายลอธลอริเอนเกินไปอ่ะ รู้สึกผิดหวังกับดีไซน์ มองแล้วอะไร ๆ ให้ความรู้สึกปลอมไปหมด ต้นไม้ไม่ให้ความรู้สึกเป็นต้นไม้เท่าไร (ซึ่งกลับไปดูลอธลอริเอนใน LOTR ตอนนี้… มันก็ดูไม่ปลอมขนาดเมิร์กวู้ดในฮอบบิท DoS นะ /ทรุด) นอกจากนั้นยังจิ้นวังวู้ดแลนด์ไว้ว่ามันต้องเห็นดินเห็นใบไม้มากกว่านี้เยอะเลย

– ประทับใจเลโกลัสที่สุดคือฉากแรกที่โผล่มา แล้วค้นเจอรูปกิมลี กับอีกฉากหนึ่งที่ต่อสู้โดยเหยียบหัวคนแคระไปเรื่อย ๆ  อ่ะเอิ๊กกกก แต่ฉากอื่น ๆ ที่อยู่กับท่านพ่อ กับแม่นางเทาริเอล(ในซับเขาแปลว่าธอเรียล)นี่เฉย ๆ หมดแฮะ คาดว่าเขาอาจจะอยากนำเสนอเลโกลัสที่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น moody นิด ๆ คล้ายจะอยากแสดงให้เห็นว่าได้รับอิทธิพลจากท่านพ่อ(รึเปล่า) แต่เราว่ามันก็ห่างจากคาแร็คเตอร์ของเลโกลัสใน The Fellowship of the Ring เกินไปหน่อย YvY คือถ้าบิวด์ฮีมาขนาดนี้ในภาคสอง ภาคสามน่าจะมีบทสรุปบางอย่างที่ทำให้เลโกลัสเปลี่ยนไปบ้างมั้ง

– ป๋าธรันดูอิลโดนใจเราแฮะ ยิ่งดูอีกรอบก็ยิ่งโดนใจ แม้จริง ๆ จะนึกภาพฮีไว้นิ่งและขรึมกว่านี้ แต่นางเหวี่ยง ๆ สะบัด ๆ แบบนี้ก็สะท้านใจดี

– ชอบฉากที่ป๋าธรันคุยกับธอรินทั้งหมดนะ ยกเว้นไว้แค่ตอนที่แสดงใบหน้าเละ ๆ ให้ดู (จขบ.ว่าจุดนั้นมันทำให้รู้สึกกวนใจระหว่างบทสนทนามากเกินไป แถมไม่ปลื้มที่ PJ ทำเหมือนเอลฟ์มีเวทมนตร์นู่นนี่นั่นด้วยแหละ ซึ่งมันตัดพลังความขลังที่ว่าพวกเอลฟ์แค่มีวิชาความรู้เยอะด้วยสติปัญญาและอายุไขอันยาวนาน) แต่ยังไงก็ตาม มีธอรินติเตียนป๋าธรัน แล้วป๋าธรันติเตียนธอรินและปู่ของธอรินกลับ กรี๊ดกร๊าดเป็นการส่วนตัว

– ชอบพวกฉากสู้ตอนออกจากเมิร์ดวู้ด ได้เห็นคนแคระหลายหน้าได้ครบครัน เห็นความสามัคคี เห็นความดิบแบบฮา ๆ ดี ครบเครื่อง 5555+

– แม่นางเทาริเอลนี่ไม่ได้คาดหวังอะไรจากนางเลย ผลปรากฎว่าเราโอเคกับนางนะ รู้สึกว่าให้ความรู้สึกว่าเป็นเอลฟ์จากเมิร์กวู้ดแต่ก็มีมุมมอง contrast กับเมิร์กวู้ดดี นางก็เท่ห์ดี ไม่ได้ประทับใจฉากแรกที่นางพบกับคิลีเป็นพิเศษ รู้สึกว่ามัน cliche ดาษดื่นและไร้บรรยากาศเกินไป แต่กลับชอบฉากที่นางคุยกับคิลีในคุก เพราะรู้สึกว่าเพิ่มบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวให้กับหนังได้ดี แต่พอมาถึงตอนที่นางพบอะธีลาสและช่วยคิลีก็ชักจะเยอะไปจนไม่ได้ช่วยให้ DoS สมบูรณ์ในฐานะหนังแล้ว จริง ๆ จบแค่ตรงในคุกแล้วสื่อความรักมาแบบเนียน ๆ  ไม่ต้องถึงขั้นให้คิลีบาดเจ็บก็ได้ (PJ เหมือนพยายามป้อนทุกอย่างให้คนดูเลยอ่ะ ทั้งที่หลายเรื่องถ้าสื่อแบบบาง ๆ มากกว่านี้คงจะเวิร์คกว่าเยอะ) จขบ.ไม่อิน แต่ดันฮากับฉากแม่นางเทาริเอลเปล่งแสง ฟีลมันไม่ใช่ 555555+

– โดยรวมแล้วกับเนื้อเรื่องรักสามเส้านี้แค่มีความรู้สึกแบบถึงบางอ้อว่าที่ให้คิลีหล่อเพราะเหตุนี้เองสินะ กร๊าก

– PJ แลจะชอบทำ parallel scenes  เช่นนำเสนอสองฉากที่มีลักษณะเหตุการณ์คล้ายกัน แต่จุดเปลี่ยนต่างกัน หรืออะไรแบบนั้น แล้วพอมาถึง DoS ยิ่งเห็นชัดว่าเขาพยายามโยงให้ The Hobbit เป็นหนังซีรีส์ชิ้นเดียวกับ LOTR มาก เพราะมี parallel scenes ที่โยงไปได้หมด ซึ่งจขบ.ว่าฉากแบบนี้มันดูลื่นในภาคหนึ่ง แต่ภาคสองดันให้ความรู้สึกว่ามันกระจุยกระจายแฮะ ทั้งบทพูดและเนื้อเรื่องที่เสริมมานี่มีมากเกินความจำเป็นจนทำให้ดูแบน ๆ ไปซะแทน แต่ parallel scenes ที่จะรู้สึกคุ้นและคิดว่าดีก็ตอนที่บาร์ดร่วมมือกับลูก ดูสะท้อนอารมณ์คล้ายตอนที่แกนดัล์ฟใช้งานให้ปิ๊บปิ้นจุดไฟตอนอยู่มินาสทิริธ(มั้งเนอะ) น่ารักดี

– ชอบฉากเปิดตัวของบาร์ดที่ยิงธนูแม่น ๆ  แล้วหัวธนูมันดูคล้ายธนูดำด้วยแฮะ XD ❤ แล้วก็ประทับใจเมืองทะเลสาบมากถึงมากที่สุด ชอบทั้งหมดเลย ดีไซน์เมือง ฯลฯ (มารู้จากคุณเพื่อนไมโลทีหลังว่าลูกวอลนัทที่คิลีนอนหนุนตอนป่วยเนี่ย คือตามปกติที่คนจนเขาใช้เป็นหมอนในสมัยก่อน /รู้สึกดีใจที่ได้เห็น walnut pillow…) บาร์ดก็รัก มาสเตอร์เลคทาวน์ก็ชอบ (จขบ.เป็นแฟนเกิร์ล Stephen Fry ที่แสดงเป็นมาสเตอร์เลคทาวน์ด้วย เลยอิ๊งอ๊าง เสียงและน้ำเสียงคุณฟรายตอนพูดบทมาสเตอร์เลคทาวน์นี่มันเหม๊าะเหมาะ TvT )

– ชอบมุกตลกนะ หลายตอนคิดว่ามันเป็นมุกตลกซื่อ ๆ ทีน่ารักมาก

– รักคุณพ่อมดราดากัสต์ โมเอ้

– ตอนไปดูรอบแรก ทำไมจขบ.ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่หลุดหัวเราะตอนเห็นธนูแขวนผักของบาร์ด… คือมันน่ารักมากค่ะ รัก 555555555+

– จขบ.ผิดหวังกับตัวละครของธอรินภาคนี้แฮะ รู้สึกว่าเขาเน้นด้านมืดในจิตใจของธอรินไม่พอ ความยึดติดของธอรินที่มีต่ออาร์เคนสโตนน่าจะชัดเจนนี้ เข้าใจอารมณ์ที่เอื้อบทของธอรินให้ดูเท่ตามประสาผู้นำและว่าที่กษัตริย์ แต่จขบ.ว่าจุดอ่อนในตัวธอรินที่ควรจะเน้นก็ดันไม่ได้เห็นมากนัก

– นอกจากจะเห็นด้านมืดไม่พอแล้วลูกเล่นยังไม่โดนใจอีก OTL ไอเดียมังกรชุบทองนี่อยากให้ตัดไปมาก ถ้าจะมาซะแบบนี้ตัดจบซะตั้งแต่ตอนเปิดประตูเอเรบอร์ได้แล้วไปอัดแต่เนื้อ ๆ ในภาคสามก็ได้นะ (คือเปิดประตูได้มันก็อาจจะไม่ได้ดูเป็น climax ที่ยิ่งใหญ่มาก แต่จขบ.รู้สึกว่ามี emotional fulfillment ในฉากนั้นมากกว่าฉากมังกรชุบทอง) คาดว่า PJ อยากมอบบทสไตล์ฮีโร่ให้คนแคระใช่ไหม แต่วิธีนี้มันดูไม่ใช่อ่ะ แม้จะคิด ๆ ดูแล้วตรงมันกรชุบทองอาจจะเป็นการสื่อในเชิงสัญลักษณ์ด้วยว่าเอาความโลภของธอรินมาปะทะกับสม็อกก็มีแต่ epic fail เพราะก็ตามืดบอดเหมือน ๆ กัน…? /แต่ก็แป้กอยู่ดี /ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉากที่สม็อกโบยบินสะบัดทองก็สวยแบบชวนขำดีนะ 555555555 ,,TTvTT,, /หัวเราะทั้งน้ำตาส์

– ฉากที่คุยกับสม็อกนี่ประทับใจสม็อกแต่รู้สึกว่าบทบิลโบอ่อนไปหน่อย แล้วสม็อกก็พูดจนชักจะคิดว่าพูดมากจัง (อารมณ์แบบเค้าไม่ได้จ้อนาน คนดังรู้สึกเหงา เลยต้องโชว์เรือนร่างนาน ๆ) แล้วหลังจากพวกคนแคระตามเข้ามาก็รู้สึกว่าอยากดู The Hobbit อ่ะ ไม่ใช่ The Greatness of Erebor… OTL (ดู The Greatness of Erebor ก็ได้นะ แต่นี่มันดูเป็นการโชว์เอฟเฟ็คและดีไซน์โดยที่บทมันไม่มีประเด็นดึงดูดใจเท่าไร)

– ประทับใจที่ทำให้ตาของสม็อกสะท้อนภาพดวงตาของเซารอน ชอบที่สม็อกกับเลโกลัสพูดด้วยคำประมาณเดียวกันว่าเจ้าน่ะเป็นทั้ง “a thief and a liar” ซึ่งเลโกลัสพูดกับธอริน แล้วสม็อกพูดกับบิลโบในช่วงแรกสุดที่คุยกัน ดูเป็นสองคำที่ย้ำเบา ๆ ในหนังเรื่องนี้ เป็นความประทับใจแรกที่คนอื่นคิดตอนเห็นการเดินทางของคนแคระกลุ่มนี้ แต่พวกคนแคระดันไม่เห็นเป็นอย่างนั้น อะไรแบบนี้ ชอบ ๆ

– ที่เพิ่มบทให้แกนดัล์ฟนี่เราชอบมากเลย แต่ครึ่งหลังของหนังมันตัดกลับไปกลับมาเยอะไป ไม่ทันจะอินกับมังกรก็ตัดมาเมืองทะเลสาบ ไม่ทันอินกับเมืองทะเลสาบก็มาเจอแกนดัล์ฟ ซึ่งพอถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่ามากความไป ตูเข้าใจแล้ววว ว่าต้องการจะเล่าอะไร TvT;

– ชอบการแสดงของ Martin Freeman มากถึงมากที่สุดอ่ะ ฮา

– รู้สึกว่าเหมือนมีอะไรอยากพูดอีก แต่โดยรวมทั้งหมดก็ประมาณนี้

.

.

.

เจอกัน entry หน้าค่า

Posted in Reviews

(Film Reviews) Like Father, Like Son + Snowpiercer

ลองสมัคร WordPress ไว้นานแล้ว ในที่สุดก็มาอัพ entry แรกสักที 55+

วันนี้ได้นัดไปดูหนังกับเซย์แบบค่อนข้างกะทันหัน จึงกลับมาอัพพล่ามถึงภาพยนตร์เรื่อง Like Father, Like Son [Soshite chichi ni naru] (2013) และ Snowpiercer (2013) กัน  มี SPOILERS บ้าง แต่คาดว่าไม่ถึงกับทำให้เสียอรรถรสสำหรับคนที่ตั้งใจจะไปดูหนังสองเรื่องนี้เน้

_

Like Father, Like Son [Soshite chichi ni naru]

2013, กำกับโดย Hirokazu Koreeda

Image

“ปะป๊ากับมะม๊าของริวเซน่ะรักลูกมากเลยนะ”

“มากกว่าปะป๊าอีกหรือฮะ”

“มากกว่าสิ”

Plot:

ปะป๊าสุดหล่อเป็นสถาปนิกจอมขยันแถมรวยนายหนึ่งมีภรรยาเงียบ ๆ ใจดี ๆ  มีลูกชื่อเคตะ ซึ่งปะป๊าก็รักลูกนะแต่การแสดงออกค่อนข้างเย็นชา ไม่ค่อยทำกิจกรรมอะไรร่วมกับลูกเพราะถือว่าลูกต้องทำอะไรได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว

หนังเปิดตัวมาชัดเจนว่า ปะป๊าคิดว่าข้อดีของเคตะก็คือเงียบและใจดีเหมือนคุณแม่ แต่ก็เป็นข้อเสียเหมือนกันเพราะเฉื่อยและยอมคนเกินป๊าย ด้วยว่าปะป๊าที่ไม่ยอมแพ้ใคร (จริง ๆ พ้มก็อยากให้ลูกเหมือนพ้มบ้าง XD ) แต่ลูกก็ขยันนะ พยายามเก่งอยู่เงียบ ๆ  อยากมีพรสวรรค์แบบปะป๊าบุรุษซึนมั่ง

ไป ๆ มา ๆ ทางโรงพยาบาลติดต่อมาว่า มีความผิดพลาดสลับตัวเด็กทารกล่ะ ทั้งนี้ก็เริ่มดำเนินคดีค้นหากันว่ามันเกิดเหตุขึ้นได้ยังไง แล้วครอบครัวนี้ก็เริ่มทำความรู้จักกับอีกครอบครัวหนึ่ง(ซึ่งขายอุปกรณ์ไฟฟ้าธรรมดา ไม่ได้รวยหรูเนี้ยบอย่างบ้านของปะป๊าตัวเอกแต่อย่างใด) ได้พบกับลูกแท้ ๆ นามว่าริวเซ ซึ่งก็ดูเข้มแข็ง แต่คล้ายจะติดเชื้อซนเหมือนลิงเหมือนน้อง ๆ คนอื่นในบ้านโน้น

จึงปัญหาว่าเราจะสลับเด็กกัน หรืออย่างไรดี ใจหนึ่งก็อยากได้ลูกในสายเลือดมาอยู่ด้วย แต่ลึก ๆ ก็ผูกพันกับลูกไม่แท้ที่เลี้ยงมา 6 ปีนี่สิ

Comments:

– แสดงเป็นธรรมชาติกันทุกคนนะ เด็กทุกคนน่ารักมาก ๆ

– เป็นหนังที่ค่อนข้างเงียบสไตล์หนังญี่ปุ่นแฮะ ไม่มีบทพูดอะไรยืดยาวนัก อย่างไรก็ดีผกก.ให้เนื้อที่ตัวละครเด่น ๆ ทุกตัวได้มีปากเสียง และสะท้อนรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละคน

– ไม่ใช่หนังเศร้าโศกเคล้าน้ำตา แต่จี้จุดให้ซึ้งได้ดี สารภาพว่าจขบ.เสียน้ำตาหนึ่งหยดถ้วน (ฮา) ไม่ต้องพูดมีบทพูดมากมายก็อินไปกับการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เชื่อมโยงกันกับเนื้อเรื่องโดยรวม

– จากการตีความส่วนตัว  Like Father, Like Son เล่นไอเดียเกี่ยวกับ nature vs. nurture  ตั้งคำถามที่ว่าคนเรานั้นเกิดมาโดยได้รับอิทธิพลจากสายเลือดโดยธรรมชาติ หรือว่าการเลี้ยงดูมากกว่ากันหรือว่าอย่างไรกันหนอ นิสัยและความสามารถนี่ไม่ว่ายังไงก็อยู่ในสายเลือดจริง ๆ หรือ ซึ่งผกก.ก็นำเสนออิทธิพลของนิสัยทั้งจาก nature และ nurture ให้เห็นอย่างชัดเจน

– มีคำถามอื่น ๆ เช่นการเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่คนในสายเลือดก็ยังสามารถรักเด็กเหมือนลูกแท้ ๆ ได้ใช่ไหม ในขณะเดียวกันความรักที่มีต่อลูกนั้นได้รับอิทธิพลจากการที่มีสายเลือดเดียวกันมากน้อยเพียงใด ฯลฯ

– Like Father, Like Son พูดถึงการเลี้ยงดูเด็กโดยทั่วไปด้วย สำหรับเด็กแล้วอะไรสำคัญหรือ ปะป๊าที่ไม่ค่อยมีบุคลิกอบอุ่นแต่ให้การศึกษาที่ดีกับลูก vs. ปะป๊าที่เรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ทางด้านการงานแต่มีเวลาให้ลูกมากกว่านั้น สามารถเอามาตัดสินได้หรือไม่ว่าใครเป็นพ่อที่ดีกว่ากันหรือแบบใดเป็นการเลี้ยงดูที่ดีต่อเด็กมากกว่ากัน

– ปะป๊าตัวเอกหล่อแฮะ เก๊กแบบน่ารักปนซึน ๆ  XD

– บางตอนก็เดินเรื่องช้าเกินไปนิด เอื่อย ๆ ไปหน่อย

– อย่างไรก็ดี จขบ.มีโมเมนต์ที่เห็นใจตัวละครได้ทุกตัวนะ แล้วก็ได้เห็นการพัฒนาของทุก ๆ คนด้วย เป็นหนังที่สมบูรณ์ในตัวของมันเองดีค่ะ

_

Snowpiercer

2013, กำกับโดย Joon-ho Bong

Image

“The people at the front of the train are the head, and those at the back of the train are the feet.”

สารภาพว่าพลาดไป 5 นาทีแรกเพราะจขบ.เข้าไปดูไม่ทัน แต่ไม่เป็นไร แอบไปคุ้ยจนค้นพบว่าห้านาทีแรกไม่มีอะไรมากนัก ฮา

Plot:

รวม ๆ แล้วคือโลกมนุษย์ต้องกลับไปอยู่ในยุคน้ำแข็งเพราะสารเคมีที่พยายามทำให้อากาศบนโลกเย็นลง แต่มันดันเย็นลงถึงขนาดที่ทำให้มนุษย์แทบสูญพันธุ์ แล้วก็มีชีวิตอยู่กันในรถไฟที่สามารถฝ่าความหนาวระดับสูงได้ ซึ่งผลิตโดยบุรุษนามว่าวิลฟอร์ด

ทว่าคนท้ายขบวนมีชีวิตอยู่กันอย่างแร้นแค้น ก็เลยเตรียมตัวจะกบฏแบบลุย ๆ ต่อสู้ผ่านประตูแล้วประตูเล่าจนกว่าจะไปถึงหัวขบวนกัน

คุณพระเอกเคอร์ติสก็ตามสไตล์ฮีโร่ทั่วไป มีส่วนช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวงในการนำคนให้ร่วมต่อสู้กับระบบอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่แบบ… จริง ๆ เราไม่อยากเป็นผู้นำนะตัวเอง แค่จำเป็นต้องนำ แล้วก็ได้รับการให้กำลังใจจากคนใกล้ชิดว่าเป็นเหอะ นายต้องนำคนไปหัวขบวน และสุดท้ายก็อาจจะต้องเป็นคอยควบคุมดูแลเครื่องจักรขบวนรถไฟเพื่อมวลมนุษย์ทุกคนในรถไฟต่อไป

Comments:

– Snowpiercer ดูจะเน้นการคำถามเกี่ยวกับระบบการปกครองแบบเผด็จการ (totalitarianism)  จขบ.คิดว่าแต่ละขบวนที่พระเอกผ่านไปนั้นเป็นการสะท้อนสังคมรูปแบบต่าง ๆ ในเชิงสัญลักษณ์ แต่วิธีที่มันนำเสนอออกมาทำให้ดูมั่วเกินไปหน่อย จขบ.เลยไม่อินมันทั้งดุ้นเลย (อ่ะแห่ะ) ในช่วงแรก ๆ ของหนังนี่ดูจะเข้าท่ามากเลย แต่ผ่านไปสักพักชักจะมึน ๆ  รู้สึกว่าหลาย ๆ อย่างมันชวนแป้กมากกว่าโอ้โหอ่ะ

– จขบ.ไม่ได้รู้สึกว่าตัวละครมันมีการพัฒนาหรือจุดเปลี่ยนให้เห็นเด่นชัดอะไร…เลย OTL

– มาดูแบบแอบติ่ง John Hurt เบา ๆ… แต่บทฮีก็ไม่มีอะไรมากนะ TvT ฮีดูจะได้รับบทผู้มีสติปัญญาให้มาเป็น father figure (ตัวแทนพ่อ) หรือ mentor (ที่ปรึกษา) ให้ฮีโร่ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าหนังได้เปิดช่องให้จขบ.ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับความสัมพันธ์ของพระเอกกับ mentor เท่าไร

– หนังก็ไม่ได้เปิดช่องให้จขบ.ได้มีอารมณ์กับความสัมพันธ์ไหนเลยแฮะ (หรือว่าจขบ.มีอารมณ์ร่วมช้า…)

– ผกก.ดูจะพยายามโยงเรื่องอย่างดี ใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ  แต่จขบ.ว่ามันเหมือนมีไอเดียเยอะแยะที่อยากใส่เข้าไป ถึงเป็นรายละเอียดที่ไม่ได้ดูจำเป็นก็ยัดมันเข้าไปอยู่นั่นจนเละไปหมดแล้ว วิธีการเล่าเรื่องไม่ได้ดีเท่าไร

– ทั้งนี้ทั้งนั้นจขบ.ชอบที่ Snowpiercer แฝงคอนเซปต์ที่ว่าคนเรารู้และยอมรับตามแต่สิ่งที่ตัวเองได้รับรู้บนโลกนี้ และสิ่งที่ตัวเองได้เห็นเท่านั้น เช่น เด็กที่เกิดบนรถไฟ ไม่เคยได้มีชีวิตอยู่ที่อื่นเลยก็จะไม่รู้ว่าดินมันเป็นอะไร มีไว้ทำไม  รวมถึงคำสอนที่ว่าเครื่องจักรรถไฟนั้นเป็นสิ่งศักสิทธิ์เหนือสิ่งใด และเจ้าของรถไฟวิลฟอร์ดก็ควรได้รับการนับถือเสมือนพระเจ้าผู้เมตตากรุณา เป็นต้น

– นักแสดงแต่ละคนแสดงกันเก่งดีค่ะ แต่เราว่าบทมันเหมือนยำปลากระป๋องที่มีกลิ่นชวนเวียนหัวแฮะ…

_

เอนี่เวย์ เจอกัน entry หน้าค่า