*เอ็นทรี่นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู WWW*
Farron Zerh’s Side
[Reminiscence]
ดอกลิลลี่สีขาวสะอาดถูกวางลงบนปากหลุม เบื้องล่างนั้น… คือร่างไร้ลมหายใจของหญิงสาวคนหนึ่งนอนหลับนิ่งสงบ… ไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีกต่อไปแล้ว
เขายังจำได้ดี… ถึงรอยยิ้มของเด็กสาวคนนั้น
ในช่วงเวลาที่ฟาร์รอนคิดว่าชีวิตของเขาคงจะไม่มีอะไรบัดซบไปกว่านี้อีกแล้ว
ใบอนุมัติไปเที่ยวฮ็อกมี้ดที่ควรจะมีลายเซ็นของผู้ปกครองถูกขยำทิ้งไว้บนโต๊ะ กระดาษสีขุ่นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและร่องรอยน่าโสโครก ฟาร์รอนขยำมันด้วยมือสั่นเทาแล้วปาเข้าไปในเปลวเพลิงจากเตาผิงด้วยแรงโทสะทั้งหมดที่มี
เด็กหนุ่มในวัยสิบห้าสูดหายใจลึก ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องนั่งเล่นว่างเปล่าเพื่อสงบสติอารมณ์
แต่นึกไม่ถึงว่านอกจากจะไม่เย็นลงแล้ว เขากลับเจอตัวปัญหาที่ทำให้อารมณ์คุกรุ่นยิ่งปะทุมากกว่าเดิม
“มิสเตอร์เซียไม่ไปเที่ยวกับคนอื่นเขาหรือไง?” น้ำเสียงนิ่งเรียบที่ฟังแล้วรู้สึกว่ามันกวนประสาทมากกว่าจะเป็นประโยคเอ่ยถามดังขึ้นมาจากด้านหลัง ฟาร์รอนปิดหนังสือในมือ หันกลับไปเผชิญหน้ากับคู่ปรับจากบ้านเรเวนคลอด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
แต่สีฝ่ายคงจะไม่สนใจว่าสีหน้าของเขามันจะเขียนบอกไว้ชัดเจนว่าไม่ควรเข้าใกล้ วิลเลียม เดรคจึงถือวิสาสะก้าวเข้ามาหาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ไม่ใช่เรื่องของนาย”
เขาพยายามตัดบทเพื่อที่จะเดินเลี่ยงจากบทสนทนานี้ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ(หรือแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจเขาก็ไม่แน่ใจ)
“ได้ยินว่านายไปฮอกมี้ดส์ไม่ได้เพราะไม่มีลายเซ็นผู้ปกครองเหรอ?”
รู้แล้วมันจะถามทำไมวะ
ฟาร์รอนพยายามสูดหายใจลึกๆ “ใช่ แล้วจะทำไม?”
แทนคำตอบ ขนมถุงใหญ่ถูกโยนลงมาบนตัก เด็กหนุ่มหรี่ตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่โยนมันมา
“ฉันให้” วิลเลี่ยม เดรคเอ่ยเสียงเรียบพลางยกมือขึ้นกอดอก “พอดีซื้อมาเยอะเกินไป จะทิ้งก็เสียดาย”
“…”
“นึกได้ว่านายคงไม่มีโอกาสได้กินมันเลยเอามาแบ่ง ยังไงก็ดีกว่าโยนทิ้งแหละนะ”
และนั่นทำให้เส้นความอดทนทั้งหมดของเขาขาดผึง
สันหนังสือลอยละลิ่วไปกระแทกคู่สนทนา เขาลุกขึ้นเดินหนีออกมาโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บหรือไม่
ฟาร์รอนไม่เข้าใจ… รู้ดีว่าชีวิตเขามันไม่ได้ดีเหมือนใคร
แต่เขาไม่เคยต้องการความรู้สึกสมเพชจากใคร…โดยเฉพาะวิลเลียม เดรค
ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเขาจำไม่ได้แล้วว่าคุณชายหยิ่งยโสนั่นหยิบยื่นสิ่งของอะไรมาให้พร้อมกับประโยคชวนสมเพชและดูถูกต่างๆ นาๆ
ทั้งไร้ค่า… และสกปรก…
เกลียด…
ความเกลียดในใจของเขามันเริ่มหยั่งลึกลงไปเรื่อยๆ
ฟาร์รอนเกลียดทุกสิ่ง
เกลียดที่สุดคือชีวิตบัดซบงี่เง่าของตัวเอง
[*]
ทุกๆ ครั้ง สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้คือการหลบมายังที่ซ่อนลับในสวน หามุมเงียบสงบและหยิบไวโอลินตัวโปรดขึ้นมาบรรเลงเพลงอย่างโดดเดี่ยว
จนกระทั่งได้เจอกับเด็กสาวคนหนึ่ง
‘เพราะมากเลยค่ะ ไม่ได้ฟังเพลงที่ให้บรรยากาศแบบนี้มานานแล้ว’
‘ขอโทษที่รบกวนนะคะ แต่มันเพราะเสียจนคิดว่าอยากให้รุ่นพี่ได้รับรู้น่ะค่ะ’
ท่าทางนิ่งสงบและเป็นธรรมชาติของเด็กสาวคนนั้นสะดุดตาเขาตั้งแต่แรกเห็น
‘เบอร์แทรมค่ะ ลาน่า เบอร์แทรม’
‘ขออนุญาติเรียกรุ่นพี่ว่าพี่เซียนะคะ’
ชื่อที่ถูกเอ่ยมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทว่านุ่มนวลค่อยๆ ทำให้เขายิ้มออกมา
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มของใครสักคน หลังจากสิ้นสุดโน้ตตัวสุดท้าย เสียงเพลงที่เธอขอให้เขาเล่นให้ฟังจบลง ฟาร์รอนกะพริบตาปริบ เหลือบมองปฏิกิริยาของเด็กสาวตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่าเขาเล่นเป็นยังไงบ้าง
ฟาร์รอนจำไม่ได้แล้วว่าดีใจแค่ไหนที่ได้ยินคำตอบพร้อมกับรอยยิ้มของเด็กสาวคนนั้น
บทสนทนาต่อมาของพวกเขามีเพียงหัวข้อเกี่ยวกับดนตรีและเวทมนตร์สั้นๆ ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากขอตัว
ตอนนั้นเขาไม่ลืมรับปากว่าจะเล่นไวโอลินให้เธอฟังอีกครั้งหากว่าเธอยังต้องการ
ทว่าผ่านมากว่าหลายปี… โอกาสนั้นก็ไม่เคยมาถึง
จนกระทั่งวันนี้…ที่เขามายืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพของเธอ
ไวโอลินสีดำสนิทถูกยกขึ้นจรดบนไหล่ ก่อนที่เสียงเพลงจะค่อยๆ ดังขึ้นท่ามกลางงานไว้อาลัยอันเงียบสงบ
สิ้นสุดโน้ตเพลงสุดท้าย ฟาร์รอนไม่หวังให้มีใครลุกขึ้นปรบมือ
ทว่าความหวังอันน้อยนิดของเขามีเพียงแค่ได้เห็นเด็กสาวคนเดิมยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยชมบทเพลงของเขาอีกครั้ง
แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
ฟาร์รอนพับเก็บไวโอลินลงกล่อง หันไปขอบคุณน้องสาวของเธอพร้อมกับเอ่ยลาเจ้าของงานและเพื่อนร่วมงานของตน ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมาจากงานโดยไม่ฟังเสียงร้องทักของใครอีกคนเบื้องหลัง
ทว่าแรงดึงจากแขนทำให้เขาหยุดชะงัก
“นายจะไปไหน?” ฟาร์รอนเลิกคิ้ว หลับตาลงชั่ววิก่อนจะลืมขึ้นพร้อมรอยยิ้มและหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของมือ
“หมดธุระแล้วฉันคงต้องกลับก่อน… ยังไงซะฉันก็เป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญของที่นี่” น้ำเสียงของเขาฟังดูเรียบเรื่อย ขณะค่อยๆ แกะมือบนแขนตัวเองออกอย่างไม่ให้เสียมารยาท
“ทำไมจะไม่—“
“นายอยู่ต่อจนจบงานเถอะ” ไม่ทันรอให้อีกฝ่ายเอ่ยจบเขาก็ชิงตัดบทไปเสียก่อน
ฟาร์รอนไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเขาแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป คุณชายคนโตของตระกูลเดรคจึงชะงักไปครู่ใหญ่และไม่เอ่ยค้านอะไรอีก
เห็นดังนั้นเขาจึงหมุนตัวหันหลังให้เพื่อนร่วมงาน แตะไม้กายสิทธิ์เบาๆ ก่อนจะหายลับไปจากบริเวณนั้น
เขาเป็นแขกที่ไม่สมควรไปอยู่ตรงนั้น
แม้แต่งานที่แสนจะมืดหม่นแบบนี้ ตัวเขายังคงสกปรกเกินกว่าจะยืนอยู่ตรงนั้น…
หากมีสักครั้ง….ถ้าหากมีสิ่งที่ทำให้ฟาร์รอนรู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิต
หนึ่งในนั้นคงเป็นความตายของลาน่า
‘จะกลับมาสีไวโอลินได้อีกไหมนะ’
‘มันมีความหมายว่าความหวังอยู่ด้วย คิดว่าเหมาะกับคุณเซียที่สุดแล้ว’
วันนั้น… ในห้วงแห่งการหลับไหล กลิ่นดอกไอริสจางๆ ลอยมาแตะจมูก ใบหูคล้ายกับได้ยินเสียงของเธอจากที่ไกลๆ
หากรู้ว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ยินเสียงของเธอ
ฟาร์รอนยอมแลกกับทุกๆ อย่างเพื่อให้ตัวเองตื่นขึ้นมาฟัง… แม้เพียงไม่กี่วินาที
แต่เพราะเวลาเดินถอยหลังไม่ได้
และตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว
END
เป็นฟิคที่แต่งเอาไว้นานแล้วและไม่อยากปล่อยทิ้งเอาไว้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเลยเอามาลงซะเลยค่ะ U _ U ตอนเขียนถึงลาน่าแอบปวดหน่วงในใจมากๆ…
View original post 5 more words