Posted in Articles, Reading

การปกครองตามกฎหมาย (นิติรัฐ)

ปรัชญาภาษา

โพสนี้เป็นผลพวงมาจากสเตตัสของผมในเฟสบุ๊คที่ผมเขียนไปเมื่อวันสองวันนี้ เกี่ยวกับเรื่อง “rule of law” หรือการปกครองตามกฎหมาย หรือที่แปลกันว่า “นิติรัฐ” หรือ “นิติธรรม” เราจะเริ่มกันที่สเตตัสของผมก่อนเลย

การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญทำให้คิดว่าน่าจะโพสข้อความนี้ของ Frederic von Hayek (ซึ่งเคยเอามาโพสที่นี่นานแล้ว)

The rule of law, of course, presupposes complete legality, but this is not enough: if a law gave the government unlimited power to act as it pleased, all its actions would be legal, but it would certainly not be under the rule of law.

The rule of law, therefore, is also more than constitutionalism: it requires that all laws conform to certain principles.

แปลได้แบบนี้

“การปกครองตามกฎหมาย (นิติรัฐ) จำเป็นต้องมีความถูกต้องตามกฏหมาย แต่นี่ก็ยังไม่พอ หากกฎหมายให้อำนาจไม่จำกัดแก่รัฐบาลที่จะทำอะไรก็ได้ การกระทำของรัฐบาลใดๆก็จะถูกกฎหมาย แต่นี่ไม่ใช่การปกครองโดยกฎหมายอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ การปกครองตามกฎหมายจึงมีมากกว่าเพียงแค่การปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ แต่กฎหมายทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักการบางอย่าง”

ความหมายก็คือว่า การปกครองตามกฎหมาย หรือที่เรียกว่า “นิติรัฐ” เป็นการปกครองที่ใช้กฎหมายเป็นหลัก แต่ที่สำคัญก็คือว่า เราจะใช้เพียงแค่กฎหมายเป็นหลักเท่านั้นไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นจะมีการใช้อำนาจผิดๆที่ไม่เป็นธรรมออกกฎหมายที่ผิดๆออกมา ซึ่งรูปแบบจะดูเป็นว่าการใช้อำนาจนั้นเป็นไปตามกฎหมาย แต่การทำแบบนี้ผิดหลักการของการปกครองโดยกฎหมายอย่างชัดแจ้ง หากศาล (หรือรัฐบาล หรือผู้ใช้อำนาจรัฐอื่นใด) ได้อำนาจมาตามกฎหมาย แต่กลับใช้อำนาจนั้นอย่างไม่ถูกต้อง การกระทำของศาลถึงแม้จะเป็นไปตามกฎหมาย แต่ก็ไม่ใช่ “นิติรัฐ” หรือการปกครองโดยกฎหมายที่แท้จริง เพราะการปกครองตามกฎหมายนั้น จะต้องเป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง ซึ่งมีอยู่นอกเหนือจากเพียงแค่ความถูกกฎหมายตามตัวอักษร

ตัวอย่างเช่น สมัยก่อนมีกฎหมายที่กำหนดวิธีการสอบสวนที่ใช้การทรมาน เช่นจับผู้ต้องหากดน้ำ ถ้าอยู่ใต้น้ำแล้วทนไม่ไหวโผล่ขึ้นมา ก็แปลว่าผู้ต้องหานั้นทำผิดจริง แต่ถ้าไม่โผล่ขึ้นมา คือจมน้ำตาย ก็แปลว่าไม่ผิด แต่ได้ไปอยู่พระเจ้าแล้ว จะเห็นได้ว่ากฎหมายที่กำหนดวิธีการพิจารณาคดีแบบนี้ เป็นกฎหมายที่ผิดหลักการสากล หลักสากลที่ว่านี้จะมีอยู่ตลอดเพราะขึ้นอยู่กับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ กฎหมายที่ตราขึ้นมาถ้าหากขัดแย้งกับหลักสากลตรงนี้ ก็ไม่สามารถรักษาและคุ้มครองความยุติธรรมในสังคมได้ บ้านเมืองก็จะวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด ที่สมัยโบราณมีกฎหมายแบบนี้ใช้ก็เพราะว่ามีการใช้อำนาจดิบๆมากดขึ่กัน แต่สมัยนี้ประชาชนไม่ยอมรับสภาพแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

ดังนั้นที่ Hayek บอกว่า [rule of law] requires that all laws conform to certain principles ก็คือตรงนี้นั่นเอง ไม่ใช่ว่าออกกฎหมายอะไรแล้วเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิไปหมด แต่กฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์ได้ต้องยังประโยชน์สุขและถูกต้องตามหลักการที่ว่ามาข้างต้นเสมอ

ก่อนอื่นขอพูดเรื่องคำแปลของ “rule of law”…

View original post 143 more words

Posted in Prompt, Writing

[30 Day Couple Challenge: Day Eleven – Day Fifteen] A Love Story: วันดี ๆ

Image

Source: NanJi

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ
.
.
.
Rating: PG
Author’s Note: มันไม่ใช่ 30 แต่เป็น 300 Day Challenge น่ะ… เขียนตามแต่มีอารมณ์จะเขียน เลยช้ามาก ฮา

.

.

.

.

.

.

(11)     ของตอบแทน (ไวท์เดย์)

.

ผมเคยนึกภาพว่าการตอบแทนใครสักคนเป็นเรื่องยาก ยิ่งการตอบแทนสำหรับความรักของใครสักคนด้วยแล้ว… บางทีก็ได้เพียงแต่นึกและกล่าวขอบคุณ

ขอบคุณที่รักผม ขอบคุณที่เป็นของผม  ขอบคุณที่ให้เมื่อผมขอเพิ่ม ให้ในสิ่งที่ผมขาดแคลนและในสิ่งที่ผมไม่นึกฝัน  ขอบคุณที่ใจดีกับผม… ตั้งแต่วันนั้น

ขอบคุณที่ทำตามสัญญา ที่ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าอาจไม่เป็นจริง  และขอบคุณที่มีชีวิตอยู่ แล้วยิ้มให้ผม

.

.

(12)     กอดจากด้านหลัง

.

การถูกกอดจากด้านหลังนั้นแสนอบอุ่น จนรู้สึกเหมือนตัวที่เคยเย็นนั้นบางลง เล็กลง และถูกกลืนเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด  หากมีพ่อที่กอดออสบอร์นในวัยเด็ก คงมีความรู้สึกสัมผัสบางอย่างที่คล้ายคลึง

เหมือนกับได้อยู่ใกล้ขึ้น และเกือบจะห่างออกไป  หันไปมองใบหน้าและดวงตาสีน้ำตาลไม่ถนัดสักเท่าไร ทว่าใกล้ชิดกับลำตัว วงแขนและฝ่ามือเป็นการทดแทน

ลำตัวของเขาดูเล็กลงกว่าที่เคยคิด เพราะฝ่ามือทั้งสองข้างของคริส

เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกว่าได้อยู่ใกล้ขึ้น แม้จะขดตัว

.

.

(13)     ท่าอุ้มเจ้าสาว

.

เขาอุ้มคริสได้ เมื่ออยู่ในสระน้ำ—หรืออาจจะในความฝัน

คริสอุ้มเขาได้ เมื่อเขาต้องการ  ออสบอร์นคิดว่าเขาน่าจะหนักพอดู—ถึงจะผอม แต่เขาก็เป็นผู้ชายสูง ๆ ทั้งคน แต่คริสก็อุ้มเขาได้… ในท่าที่เขาต้องการจะอุ้ม

แล้วออสบอร์นก็รู้สึกเด็กลงทุกที ไม่เป็นไรจริง ๆ รึเปล่า

ไม่เป็นไร… ก็ได้… ก็ดีแล้ว

ไม่มีใครอุ้มเขามานานมากแล้ว เขาจำไม่ได้ว่าตั้งแต่เขาอายุเท่าไร ทว่าการได้เป็นเด็กยิ่งขึ้น พร้อมกับแก่ลงกับคนที่รักที่สุด ถือเป็นความสุข

.

.

(14)     ขี่หลัง

.

ขี่หลังเสือแล้วลงยาก

ออสบอร์นคิดว่าพวกเขาได้พบกันในสถานที่ที่ยากจะเลือกอนาคตแบบอื่น เมื่อครั้งแรกที่เขาเข้ามาในองค์กร MIS  เขาไม่เคยนึกฝันว่าจะออกไป  จากชีวิตอันเป็นสีเทานั้น อะดรีนาลีนยามที่ได้ลงมือทำสิ่งที่สนใจโดยไม่คิดจะมีชีวิตรอดนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ชีวิตสามสิบปีที่ผ่านมาไม่เคยมีที่ใดบนโลกที่น่าเบื่อน้อยกว่าบนหลังเสือ

เขาอยากจะมองความรักของพวกเขาเป็นเหมือนกับอะไรที่อยู่นอกเหนือกาลเวลา คาดหวังว่าพวกเขาอาจจะได้ตกหลุมรักกันและกันต่อให้พบกันภายใต้สถานการณ์อื่น เวลาอื่น  แต่ไม่ว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงหรือไม่ พวกเขาก็ได้พบกันที่ MIS นี่แล้ว  หากมันง่ายเพียงดีดนิ้ว เขาคงไม่ลังเลที่จะหนีไปไกลแสนไกลกับคริสอีกต่อไป

.

.

(15)     เฝ้าไข้

.

ยามที่ป่วยหรือบาดเจ็บ ออสบอร์นไม่ได้รู้สึกสบายใจกับการอยู่คนเดียวจริง ๆ หรอก เขาไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการเห็นแก่ตัวหรือไม่เมื่อต้องการให้คริสอยู่ด้วย

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่เวลาอยู่กับคริส  ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเชื่อเสียทีเดียวหรอกว่าความรักในแบบที่คริสมีให้เขาจะมีอยู่จริง – ไม่เชิง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในโลกสีเทา แต่แล้วมันก็มีอยู่จริง

ในวันที่ลืมตาตื่นมาแล้วรู้สึกได้ว่าร่างกายไม่เต็มที่นัก ก็ยังถือว่าเป็นวันที่ดีเมื่อได้อยู่ด้วยกัน

.

.

.

TBC.