Posted in Reading

[RDU] A ligean ar dul abhaile.

`&.illusione'N3bbiA.

Title:  A ligean ar dul abhaile.

Timeline: Turn 6 – End Game

Character: Valen (Flann Ó Phelan)

–           –           –           –          –          –          –           –           –           –


‘Congratulations to Rabbits!!’

ประโยคที่บอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ได้จบลงปรากฎขึ้นบนหน้าจอหลังจากประตูครัวได้เปิดออกและพบกับหมายเลข 9 และหมายเลข 15

คุณหมาป่าหมายเลข 15 นั้นเลือกที่จะฆ่าสปายในคืนที่ 5 แต่เพราะเป็นสปายเลยได้รับหน้าที่ในการหาหมาป่า สุดท้ายจึงเกิดการปะทะและคุณหมาป่า

คอหลุดกระเด็นไปอย่างช่วยไม่ได้

หมาป่าที่เหมือนได้รับการปกป้องสุดท้ายก็ตายอยู่ดี…

น่าแปลกที่เมื่อรู้แบบนั้นก็น่าจะรู้สึกว่าดีแล้วที่ได้ออกไปจากที่นี่เสียที ในเมื่อไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นให้ดูอีกแล้วแต่สมองและความรู้สึกกลับเริ่มด้านชาลงอย่างช้าๆ แทบจะไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วนอกจากความมึนงง แม้ว่าจะยังสามารถตอบโต้ได้แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาเองก็ลืมบทสนทนาพวกนั้นเกือบหมดสิ้น

เท้ายังคงก้าวไปยังจุดหมายปลายทางที่ไม่รู้ว่าไปเพื่ออะไรมีเพียงความรู้สึกที่บอกว่าต้องไปก็เท่านั้น


ห้อง 203



ห้องที่เขาฟื้นขึ้นมาในวันแรก ห้องประชุมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยร่างของ ‘เพื่อน’ ร่วมชะตากรรมที่เคยมีชีวิตอยู่ในเกมเกมนี้

กระต่ายศิลปินที่อยู่ในมีตติ้งกลุ่มเดียวกัน

กระต่ายซุกซนที่เอามือไปแหย่ในรังหมาป่า

หมาป่าที่ฝากฝั่งสิ่งที่เขาทำไม่ได้วาระสุดท้ายของชีวิต

กระต่ายน้อยขี้กลัวที่หาญกล้าบอกชื่อของหมาป่า

กระต่ายหัวหน้าที่ฟื้นขึ้นมาในห้องประชุมด้วยกัน

กระต่ายน้อยที่เอามีดแทงเข้าลำคอของลูกหมาป่า

กระต่ายที่ลอกเลียนบทบาทของเขาที่เป็นเพียงกระต่ายธรรมดา

หมาป่าที่บอกยอมรับกับเขาว่าเป็นหมาป่าอย่าไม่อิดออดในวันที่ต้องโดนปลิดชีวิต

กระต่ายต้องสาปที่บอกว่าตัวเองไร้ประโยชน์…



อีกหลายคนที่เขาไม่เคยที่จะเดินเข้าไปคุยหรือทักทายด้วยก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาจนบางครั้งก็เผลอคิดไปว่าหากได้ถ่ายรูปร่วมกันก่อนออกไปก็น่าจะดีไม่น้อยเหมือนเวลาไปทัศนศึกษาที่เคยได้ยินคนอื่นเล่ากันมา


     แต่ก็แค่สำหรับเขาคนเดียวนั่นแหละ…


สายตายังคงมองหาสิ่งที่ตามหา แม้ว่าการมองเห็นอีกด้านจะพร่ามัวทำให้รำคาญไปเสียทุกครั้งที่กวาดตามองอะไร แต่เขาเองก็ไม่อยากจะใส่ผ้าปิดตาที่เปื้อนอันนั้นอยู่ดี


     ‘ถ้าฉันตายก่อน ช่วยดูไม่ให้ศพของฉันออกไปให้โลกภายนอกหาได้… เท่าที่สามารถทำได้’

ประโยคที่คล้ายกับการบอกลาครั้งสุดท้ายแต่ก็ไม่ใช่ยังคงวนเวียนในความคิดที่เริ่มด้านชาทีละนิด เหมือนว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง เขาอาจจะรู้สึกค้างคาใจไปตลอดหลังจากนี้แน่ๆ  ทั้งทีรู้สึกคุ้นเคยและเหมือนจะเคยเห็นหรือพูดคุยกันมากกว่านี้ แต่คำพูดของคนที่เขานึกแม้แต่ชื่อก็ยังไม่ออกยังคงจำได้ดี คำฝากฝังที่เหมือนไม่ได้จริงจังอะไรมากเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกว่าผู้พูดนั้นไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะจดจำหรือลงมือทำมัน

สภาพของศพยังคงเป็นเช่นเดิม แม้จะซีดเซียว ไร้เลือดต่างจากตอนมีชีวิตไปบ้าง แต่นั่นก็คือสิ่งที่ศพควรจะเป็น หลังจากได้พูดอะไรนิดหน่อยกับคนๆนั้นแล้ว จึงถอดเสื้อคลุมที่เหมือนเป็นเครื่องแบบทหารห่มให้อีกฝ่าย แม้ไม่รู้ว่าจะทำให้อุ่นขึ้นบ้างหรือไม่ก็ตามที



     เป็นคำบอกลากับศพครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจจะนับ



หลังจากนั้นได้คุยกับคุณเบอร์ 14   คุณกระต่ายท่าทางขี้หงุดหงิดที่ฟื้นในห้องประชุมเบอร์ 203 เช่นเดียวกัน  ตอนนี้เขาเองเพิ่งรู้สึกว่าตลอดมาก็ไม่ค่อยได้คุยกับคนๆนี้เท่าไหร่นัก แต่เวลาเห็นท่าทางหงุดหงิดแบบนั้นทีไร เสียงในหัวของเขามักจะหัวเราะในระดับที่


     บ้านแตก


หาคำเปรียบเปรยอื่นไม่ได้เพราะตอนนั้นเขาเองก็รำคาญเสียงหัวเราะนั้นแบบสุดๆจนอยากกินยาแก้ปวดหัวสักกำมือเหมือนกัน แต่บางครั้งก็พบว่าการสนทนาของพวกเขามักจะขาดหายไปในความทรงจำอยู่เรื่อย  มีบางช่วงที่เขาได้สติกลับมาในขณะที่การสนทนาได้เปลี่ยนหัวข้อไปแล้ว ก็ต้องคุยต่อแบบเสียไม่ได้

เราคุยกันเรื่องของคนๆนั้นนิดหน่อยและเรื่องของการที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ทั้งทีอยากจะคุยเรื่องของคนๆนั้นให้มากกว่านี้แต่เหมือนสมองของเขาจะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก สุดท้ายก็ต้อง



พยายามนึกไปและเล่าส่งต่อไปให้มากที่สุด




เพราะในวันข้างหน้าเขาอาจจะเป็นคนถามเคลเสียเองเกี่ยวกับเรื่องราวพวกนั้น





บทสนทนาระหว่างกันดำเนินไปได้สักพักเคลจึงให้เมลล์กับเบอร์โทรศัพท์แต่ไม่ได้ทิ้งท้ายว่าให้ติดต่อกลับ พูดแค่เพียงว่า ‘ถือว่าฉันให้ไปแล้ว’ ตอนนั้นก็แทบไม่อยากจะบอกเลยว่าอยู่ๆเสียงในหัวก็ระเบิดหัวเราะขึ้นมาอีก จนคิดว่าอะไรจะเส้นตื้นปานนั้น  ระหว่างที่คุยกันต่อไปนั้นเขาเองรู้สึกอิจฉาเคลอยู่เล็กน้อยกับเรื่องความทรงจำ


ไม่สิ




อิจฉาทุกคนที่จดจำทุกสิ่งที่สำคัญได้ต่างหาก…



หลังจากที่แยกกันแล้วเขาก็เจอกับเอมิลี่ ท่าทางเธอยังคงเจ็บเท้าอยู่ไม่น้อย ได้แต่หวังว่าจะเดินไปจนหาคนมาช่วยได้หรือไม่ก็จับกลุ่มเดินกับคนอื่น เพราะอย่างน้อยๆน่าจะมีคนช่วยเหลือเธอได้ ซึ่งคนๆนั้นคงไม่ใช่เขา…

สำหรับเอมิลี่นั้น ในสายตาเขาแล้วเธอคงเป็นคนที่ดู ‘ปกติ’ ที่สุดเท่าที่เห็น  ‘ความกลัวที่แท้จริง’ ที่แสดงออกมาชัดเจนแบบนั้นแทบจะไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่นักสำหรับที่นี่  ระหว่างเกมบทสนทนาของเขาและเธอมีเพียงน้อยนิดแต่ในบทสนทนานั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอโกหกอะไรเท่าไหร่นัก

     เป็นกระต่ายขี้ขลาดที่ขี้กลัวจนน่าเอ็นดู


ตอนนั้นเขาและเธอพูดคุยกันในหัวข้อที่ว่าด้วยการชิงเวลาของคนอื่นมาต่อเวลาให้ตัวเอง อยู่ๆเอมิลี่ก็ถามเขาขึ้นมาว่า

     ‘ถ้าฉันบอกตัวเองว่าเป็นหมาป่าจะทำให้คุณเชื่อมั่นได้มากกว่าบอกว่าเป็นกระต่ายหรือคะ?’

เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดถึงสาเหตุที่เธอถามแบบนั้น  แม้ว่ามันจะทำให้ส่วนลึกหงุดหงิดหน่อยๆจนอยากจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมาบ้างก็ตาม เขารู้แค่ว่าตอนนั้นเขากำลังโกรธและต้องการหาที่ระบายความโกรธนั้นออกมา…

View original post 71 more words

Posted in Articles, Reading

การปกครองตามกฎหมาย (นิติรัฐ)

ปรัชญาภาษา

โพสนี้เป็นผลพวงมาจากสเตตัสของผมในเฟสบุ๊คที่ผมเขียนไปเมื่อวันสองวันนี้ เกี่ยวกับเรื่อง “rule of law” หรือการปกครองตามกฎหมาย หรือที่แปลกันว่า “นิติรัฐ” หรือ “นิติธรรม” เราจะเริ่มกันที่สเตตัสของผมก่อนเลย

การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญทำให้คิดว่าน่าจะโพสข้อความนี้ของ Frederic von Hayek (ซึ่งเคยเอามาโพสที่นี่นานแล้ว)

The rule of law, of course, presupposes complete legality, but this is not enough: if a law gave the government unlimited power to act as it pleased, all its actions would be legal, but it would certainly not be under the rule of law.

The rule of law, therefore, is also more than constitutionalism: it requires that all laws conform to certain principles.

แปลได้แบบนี้

“การปกครองตามกฎหมาย (นิติรัฐ) จำเป็นต้องมีความถูกต้องตามกฏหมาย แต่นี่ก็ยังไม่พอ หากกฎหมายให้อำนาจไม่จำกัดแก่รัฐบาลที่จะทำอะไรก็ได้ การกระทำของรัฐบาลใดๆก็จะถูกกฎหมาย แต่นี่ไม่ใช่การปกครองโดยกฎหมายอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ การปกครองตามกฎหมายจึงมีมากกว่าเพียงแค่การปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ แต่กฎหมายทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักการบางอย่าง”

ความหมายก็คือว่า การปกครองตามกฎหมาย หรือที่เรียกว่า “นิติรัฐ” เป็นการปกครองที่ใช้กฎหมายเป็นหลัก แต่ที่สำคัญก็คือว่า เราจะใช้เพียงแค่กฎหมายเป็นหลักเท่านั้นไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นจะมีการใช้อำนาจผิดๆที่ไม่เป็นธรรมออกกฎหมายที่ผิดๆออกมา ซึ่งรูปแบบจะดูเป็นว่าการใช้อำนาจนั้นเป็นไปตามกฎหมาย แต่การทำแบบนี้ผิดหลักการของการปกครองโดยกฎหมายอย่างชัดแจ้ง หากศาล (หรือรัฐบาล หรือผู้ใช้อำนาจรัฐอื่นใด) ได้อำนาจมาตามกฎหมาย แต่กลับใช้อำนาจนั้นอย่างไม่ถูกต้อง การกระทำของศาลถึงแม้จะเป็นไปตามกฎหมาย แต่ก็ไม่ใช่ “นิติรัฐ” หรือการปกครองโดยกฎหมายที่แท้จริง เพราะการปกครองตามกฎหมายนั้น จะต้องเป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง ซึ่งมีอยู่นอกเหนือจากเพียงแค่ความถูกกฎหมายตามตัวอักษร

ตัวอย่างเช่น สมัยก่อนมีกฎหมายที่กำหนดวิธีการสอบสวนที่ใช้การทรมาน เช่นจับผู้ต้องหากดน้ำ ถ้าอยู่ใต้น้ำแล้วทนไม่ไหวโผล่ขึ้นมา ก็แปลว่าผู้ต้องหานั้นทำผิดจริง แต่ถ้าไม่โผล่ขึ้นมา คือจมน้ำตาย ก็แปลว่าไม่ผิด แต่ได้ไปอยู่พระเจ้าแล้ว จะเห็นได้ว่ากฎหมายที่กำหนดวิธีการพิจารณาคดีแบบนี้ เป็นกฎหมายที่ผิดหลักการสากล หลักสากลที่ว่านี้จะมีอยู่ตลอดเพราะขึ้นอยู่กับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ กฎหมายที่ตราขึ้นมาถ้าหากขัดแย้งกับหลักสากลตรงนี้ ก็ไม่สามารถรักษาและคุ้มครองความยุติธรรมในสังคมได้ บ้านเมืองก็จะวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด ที่สมัยโบราณมีกฎหมายแบบนี้ใช้ก็เพราะว่ามีการใช้อำนาจดิบๆมากดขึ่กัน แต่สมัยนี้ประชาชนไม่ยอมรับสภาพแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

ดังนั้นที่ Hayek บอกว่า [rule of law] requires that all laws conform to certain principles ก็คือตรงนี้นั่นเอง ไม่ใช่ว่าออกกฎหมายอะไรแล้วเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิไปหมด แต่กฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์ได้ต้องยังประโยชน์สุขและถูกต้องตามหลักการที่ว่ามาข้างต้นเสมอ

ก่อนอื่นขอพูดเรื่องคำแปลของ “rule of law”…

View original post 143 more words