Posted in Writing

#WZD Déjà vu

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของpasted image 0.png

 

Pairing: Vasilios Argyris/Sylem Dagile

Rating: PG

 

 

 

_

 

 

Déjà vu

 

ความรู้สึกที่เหมือนเคยเจอคู่ชีวิตก่อน ‘พบกันครั้งแรก’ อาจจะมีจริงก็ได้

 

ราวกับว่า ได้เจอไซเลมเมื่อสมัยเด็ก ๆ  แต่อย่างมากที่สุดก็คงเป็นเพียงครั้งเดียวในวันที่แสนสั้น เขาไม่น่าจะทำอะไรเป็นแก่นสารในวันนั้น ตอนนั้นพ่อก็คงสอนให้เขา ‘ล่าหากิน’ ได้แล้ว แต่ตามประสาเด็กเขาก็คงจะเล่นจนลืมหิว

 

เขาผงกหัวขึ้นจากหมอน มองปีกเล็ก ๆ ที่คอของคนผมทอง

 

ไม่กล้าถาม

 

ได้แต่ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดคอ เขาคงเหม่อคิดจนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วเอาความทรงจำเก่า ๆ มาปะปนกันแน่ ๆ  แต่ถ้าลองคิดเล่น ๆ สมมุติไซเลมเจอตัวเขาตอนเด็กจริง ไซเลมก็อาจจะอายุประมาณยี่สิบกลาง ๆ? ยิ่งคิดดูก็ยิ่งเป็นไปได้ แต่เขาคงไม่ถามอยู่ดี… เพราะถึงจะเป็นแบบนั้น ก็คงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้พวกเขาได้รู้จักกันใกล้ชิดในตอนนั้น

 

สมัยเด็กเขามีโอกาสได้คุยกับผู้ใหญ่บ่อย ๆ  อาจจะบ่อยกว่าคุยกับเด็กด้วยกันเอง การเอาตัวรอดตามแบบเผ่าพันธุ์ตัวเองนั้น… มาคิด ๆ ดูก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ได้เหงาด้วยซ้ำ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอะไร ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีอะไรให้จดจำเป็นพิเศษขนาดนั้นเหมือนกัน โลกมีอะไรให้ทำมากมาย แต่ส่วนใหญ่องค์ประกอบในชีวิตเขาก็คือทำในสิ่งที่คนอื่นอยากให้ทำ ทำให้คนอื่นมีความพึงใจก็พอ ถึงอย่างนั้นด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็พยายามใช้ชีวิต ต่อสู้เพื่อใช้ชีวิต แม้จะทำเพียงเพื่อความปรารถนาของผู้อื่น บางทีเขาอาจจะหวังว่าลึก ๆ แล้วเขาเองก็มีความสุขไปกับชีวิตแบบนั้นเช่นกัน

 

มันอาจจะเปลี่ยนตอนที่เขาได้ลองสู้เมื่อเริ่มชอบไซเลม ความจริงก็สู้ด้วยหัวใจที่เหมือนอกหักไปเกินครึ่งแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่ได้คิดว่าไซเลมจะเลือกเขา หรือเขาจะมีความหมายอะไรในระยะยาวนัก ต่อให้ไม่ได้เป็นคนรักเขาก็อยากจะพยายามเพื่อให้ได้มีคนคนนี้อยู่ในชีวิต

 

ที่ไซเลมเคยบอกเขาประมาณว่า เขาชอบพูดเหมือนตัวเองไม่ได้มีอะไรพิเศษ พอย้อนคิดดูตอนนี้ก็ได้แต่ยิ้มออกมา สำหรับเขาแล้วออกจะเป็นเรื่องปกติที่จะคิดแบบนั้น ในเมื่อพอนึกย้อนดูก็ไม่มีเรื่องเจ๋ง ๆ ในอดีตมาเล่าให้ฟังเท่าไร เพราะเขาจำอะไรไม่ค่อยได้ก็ส่วนหนึ่ง ไม่ได้มีวิถีชีวิตที่น่าอวดอะไร และในส่วนที่พิเศษ ก็มีแต่จะตอกย้ำมากกว่าว่าเขามันแกะดำ

 

ตอนสงครามเริ่มต้นใหม่ ๆ  เขาผ่อนคลายไม่ได้เลย เพราะถึงแม้จะมีพลัง แต่ก็เหมือนจะไม่มากพอที่จะช่วยไซเลมได้

 

แต่ตอนนี้…

 

วาซิลิออสเลื่อนมือไปเล่นกับปอยผมทอง เขาเองรู้สึกได้ถึง ‘พร’ ที่ได้รับมาจากคุณมังกร อีกทั้งยังเวทมนตร์ที่ไซเลมเชื่อใจให้เขาเป็นคนคอยควบคุมไซเลมให้อยู่ในพื้นที่จำกัดได้อีีก แต่เพราะ… มีแต่ได้รับของขวัญมากมาย จึงอยากใช้พลังนี้ปกป้องไซเลมได้ ทั้งที่กดดันแต่ก็มีความหวัง

 

แล้วตอนนี้ก็เริ่มมีความทรงจำพิเศษให้พูดถึงกันแล้วด้วย เขาเอง… เมื่อก่อนเคยคิดว่าถึงตายไปก็คงไม่เสียดายสักเท่าไร แต่ตอนนี้… ยังมีเรื่องอยากทำที่ยังไม่ได้ทำนี่นา

 

วาซิลิออสเพียงแต่ขยับเข้าไปเอาจมูกซุกเส้นผมอีกฝ่าย “พี่เลม… รู้ไหม…” เขาเอ่ยเสียงเบา ราวกับไม่ได้หวังให้ไซเลมตื่นเป็นพิเศษ “บางทีก็อย่างกับว่า เคยเจอพี่มาก่อน”

 

 

 

The End.

Posted in Writing

[PBI] เปิดใจ

Entry นึ้เป็นส่วนหนึ่งของ PBI Community

Pairing: Knightley/Quatair

Rating: PG

_

 

 

 

เปิดใจ

 

ก่อนหน้านี้ ไนท์ลีย์ก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับควอแตร์มากเท่าไร บางครั้งเขาก็คิดว่าเขาไม่ใช่คนที่คุยกับควอแตร์บ่อยที่สุดด้วย อีกทั้งที่ผ่านมาก็เหมือนจะไม่ค่อยได้คุยอะไรที่ทำให้ค้นหากันและกันได้มากสักเท่าไร ทั้งแบบนั้นแล้ว เขาก็ยังอยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเธอ และอยากให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา บางครั้งก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปได้ ทั้งที่ปกติเขาก็เป็นคนตั้งเงื่อนไขมากมายทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะควอแตร์เป็นคนที่เขายังหาเงื่อนไขที่เธอมีให้เขาไม่ค่อยพบสักที—เขาแน่ใจว่าเธอมี แวร์วูฟทุกคนมีเรื่องขอบเขตมาเกี่ยวข้องเสมอ แต่ยิ่งเธอให้อะไรกับเขาโดยไม่มีเงื่อนไขกับเขามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะพยายามให้อะไรเธอแบบไม่มีเงื่อนไขมากขึ้น ซึ่งลึกลงไปแล้ว เขาก็หวั่นเกรงกับความรู้สึกไร้ขอบเขตอยู่บ้าง

 

มีบางอย่างเกี่ยวกับเธอที่ทำให้เขารู้สึกสะดุด—จะเรียกว่าแบบนั้นก็คงได้—เมื่อช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิของปี 2018 เป็นการสนทนากันจริงจังเป็นครั้งแรก ที่แย่น่าจะเป็นส่วนที่เขาทำเธอร้องไห้ และไม่ใช่เพราะอะไรอื่น เพราะเขาไปถือวิสาสะพูดกับเธอเองว่า เธอเป็นคนที่ให้อะไรโดยไม่มีเงื่อนไขเท่าไร และนั่นอาจทำให้เธอถูกใช้ประโยชน์โดยง่าย เหตุผลที่เขาพูดก็เป็นเพียงเพราะว่าเธอใจดีกับเขา แต่เขากลับตอบแทนความใจดีของเธอแบบนั้น

 

แม้จะพูดด้วยความเป็นห่วง แต่เป็นแบบนี้แล้ว คนที่ควรจะอยู่ใกล้เธอน้อยที่สุด อาจจะเป็นคนแบบเขาก็ได้

 

เขารู้มาตั้งแต่วันนั้นว่าเธอไม่ชอบฝน เธอใจดีกับทุกคน—และความจริงก็คงจะรักทุกคน แต่กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร แต่เขาก็คิดว่าสำหรับควอแตร์แล้ว มันคงเป็นเรื่องสำคัญ

 

_

 

พบกันครั้งถัดมา เขาก็พาแมรี่มาที่สวนสาธารณะเพื่อจะได้พบปะควอแตร์ด้วย ในวันนั้นควอแตร์ใส่เสื้อผ้าที่ดูสุภาพเรียบร้อยกว่าปกติ พอเห็นความใส่ใจที่มีต่อแมรี่นั้นก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ทั้งที่เธอไม่จำเป็นต้องกังวลก็ได้แท้ ๆ  แมรี่เองก็เป็นเพียงเด็กที่เขาเองก็ไม่ได้สอนเป็นพิเศษว่าการแต่งตัวแบบไหนเป็นแนวผู้หญิงหรือผู้ชาย และเอาเข้าจริงเขาเองก็ไม่ได้คิดเยอะเรื่องนี้

 

หลังจากคุยสัพเพเหระไปสักครู่ เขาก็หลุดแหย่ออกไปก่อนจะห้ามปากตัวเองได้ทันว่า “หรือว่าจริง ๆ แล้วใส่เสื้อแบบนี้มาให้ผมมากกว่าแมรี่กันนะครับ” แทบจะกัดลิ้นตัวเองเหมือนกัน หากเขาเป็นควอแตร์ก็คงมองว่าตัวเขาอวดดีสิ้นดี ในตอนนั้นไนท์ลีย์เองก็ไม่แน่ใจว่าต้องการคำตอบแบบไหน เขาก็ไม่ใช่วัยรุ่นที่น่าจะมาหยอกเล่นเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย เขาเพียงแต่คิดว่าเขามีทางเลือกที่จะพูดหรือไม่พูด

 

ลึก ๆ แล้วเขาคงจะอยากพูดมากกว่า

 

_

 

“เอาเข้าจริงก็ควรกินให้ตรงเวลาเป็นอย่างน้อย เพราะยังไงสุดท้ายเรื่องบางเรื่องละเลยไปมันก็กลับมาในฐานะบิลสุขภาพอยู่ดี” เขาพูดกับควอแตร์ด้วยเสียงเรียบ ๆ กว่าปกติ อาจเพราะเป็นบทสนทนาทำนองที่มักจะต้องมีกับคนรอบกายบ่อยครั้ง จึงเข้มงวดขึ้นมา

 

ควอแตร์ดูจ๋อยราวกับหมาในโอวาส แล้วพยักหน้าหงึก ๆ “ค่ารักษามัน… แรงจริง ๆ นั่นแหละค่ะ” เธอหัวเราะแห้ง พลางละมือจากช้อนขนมของงานกาล่าตรงหน้า แล้วบีบมือตัวเองอย่างประหม่า “หรือโรค—ไม่ ๆ  ฉันหมายถึงเรื่องที่คุณป่วย ก็ต้องจ่ายค่ารักษาเยอะเหมือนกัน?”

 

ไนท์ลีย์เห็นท่าทีแบบนั้นแล้วก็ดันใจอ่อนเอาง่าย ๆ  ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดว่าจะดุแล้วเชียว แม้ว่าเขาเองคงไม่มีสิทธิ์ก็ตาม ถึงอย่างนั้นฟังดูจากถ้อยคำ เขาก็คิดว่าควอแตร์เองก็เข้าใจ… เขารู้ตัวว่าตัวเองมีทรัพย์จึงได้มีชีวิตแบบที่มีอยู่ตรงนี้ รู้ตัวเสมอว่าเป็นอภิสิทธิ์ เขากะพริบตาปริบขณะทำความเข้าใจคำถาม ก่อนจะกล่าวว่า “ผมมีไม่สบายบ้างเป็นบางครั้งเพราะความอ่อนแอในลักษณะคนผิวเผือก แต่เพราะมีพลังของมนุษย์หมาป่าเลยยังนับว่า ป่วยไม่บ่อยเท่าที่คนผิวเผือกทั่วไปเป็นครับ แถมเกิดมาเป็นอัลฟ่าด้วย แต่ว่า… มันเหมือน ‘เผลอเป็นไม่ได้ ก็ป่วยอีกแล้ว’ หรือ ‘ทีคนอื่นในครอบครัวไม่เห็นป่วยจุกจิกขนาดนี้เลย’ ก็เลยพยายามรักษาตัวเอามาก ๆ หน่อย ว่ากันตามตรงก็จากความเซ็งเบื่อ หงุดหงิดรำคาญไม่ใช่น้อยครับ… ทั้งที่ถ้ามีแรงกระตุ้นแง่บวกก็คงจะดีกว่า”

 

ควอแตร์ผ่อนคลายลง ก่อนจะกล่าวว่า “เอ๋ งั้นถ้าเปลี่ยนเป็นแบบ ‘ถ้าไม่ป่วยหรือหายป่วยเร็วจะได้ทำ… ที่อยากทำ ได้กิน… ที่ชอบ’ ไม่ก็ ‘ไม่ป่วยเพื่อที่จะ…’ หาเงื่อนไขภายนอกมาเป็นแรงกระตุ้น หรือตั้งเงื่อนไขภายในเอา อะไรแบบนี้ดูไหมคะ… ที่จริง กับอาการป่วยแบบนั้น ฉันคิดว่าคุณ ‘พิเศษ’ กว่าคนอื่นอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องทำอะไรที่มันพิเศษ ๆ กว่าคนอื่นอยู่แล้ว” เธอกำหมัดเป็นเชิงให้กำลังใจ

 

เขาใช้มือหนึ่งจิ้มขนมไป อีกมือเท้าคางมอง ยิ้มอ่อนใจระคนเอ็นดู “คอนเซปต์ที่ว่า ‘พิเศษ’ เนี่ยไม่ได้คิดมานานแล้วครับ แต่ในฐานะเจ้าของโรคจะให้คิดแบบนั้นมันก็ยากเหมือนกัน… แต่ถ้าคุณคิดแบบนั้นก็ดีใจนะครับ”

 

ความจริงแล้ว การที่ใครสักคนคิดแบบนั้น ก็ชวนเยียวยาอยู่เหมือนกัน ไม่สิ… เพราะเป็นคนที่สนใจคิดแบบนั้น จึงรู้สึกราวกับได้รับการเยียวยาต่างหาก

 

_

 

“ชอบแนวนี้สินะครับ” ไนท์ลีย์เอ่ยกับควอแตร์ขณะดูภาพสีน้ำมันที่ไหลผสมปะปนกันเป็นแนวนามธรรม “ดูแล้วผ่อนคลายดี อาจเพราะผมตีความมันไม่ออกนัก ก็เลยเหมือนไม่ต้องคิด ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามบรรยากาศมากกว่า”

 

“จริงของคุณ แต่อาจเป็นเพราะบางอย่างไม่จำเป็นต้องตีความก็ได้ค่ะ… มันเป็น ในแบบที่เป็นอยู่แล้ว โดยภาพรวมจะปรากฏแก่สายตาคุณ เหมือนกับที่ทุก ๆ คนเห็นอยู่แล้ว”

 

แท้จริงแล้วนั่นเป็นแนวคิดในแบบที่ไนท์ลีย์หวาดกลัวเป็นพิเศษ อาจจะเพราะรอบตัวของเขาไม่มีคนแบบเธอ จึงยิ่งกดดันมากขึ้น

 

แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกสบายใจ

 

บางทีความขัดแย้งในความรู้สึก อาจยิ่งทำให้ความรู้สึกบางอย่างแจ่มชัดยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นได้

 

_

 

บางครั้ง เขาคิดว่าควอแตร์รู้เรื่องของเขามากกว่าที่เขารู้เรื่องของควอแตร์ และบางครั้งเขาก็สงสัยว่าเหตุใดเธอจึงดีกับเขานัก ทั้งที่เขามีอะไรให้เธอน้อยมาก เขาคือทราย ในขณะที่เธอคือดิน

 

ตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วที่เขาเลิกสวมแหวนแต่งงาน เขาบอกตัวเองว่าจะพยายามไม่ร้องไห้เรื่องของภรรยาเก่าอีก แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่เด็ดขาดแบบนั้น หลายปีที่เขาร้องไห้เรื่องเดิมเพียงคนเดียว ถึงอย่างนั้นเขาก็เคยถูกแมรี่โกรธเพราะเธอนึกว่าเขาไม่เคยเสียน้ำตาให้กับคุณแม่ของเธอเลย ความจริงก็ตั้งแต่สมัยเด็กแล้วที่เขาชินกับการร้องไห้เพียงคนเดียว ในยามที่เศร้าและยามที่ทำดี คือสองเวลาที่คนเราควรจะพยายามดำเนินไปเงียบ ๆ  บางทีเขาจะได้รับการสอนมาแบบนั้น เขาจึงพยายามทำเช่นนั้น บางครั้งเขาก็ล้มเหลว น้องชายเคยพบตัวเขาที่ร้องไห้อยู่ น้องบอกว่าเขาควรจะหัดร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเสียบ้าง แล้วจะดีขึ้น—จนปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไรมาทำให้เขาเชื่อมุมมองนั้นสักที

 

เขาจำรายละเอียดของช่วงเวลาที่แม่ของเขาเสียชีวิตไม่ได้นัก แต่เขาจำความรู้สึกได้ มันเป็นเสมือนคลื่นสาดซัดให้จมน้ำหลังจากที่กำลังเล่นสนุกอยู่ ส่วนเรื่องของคุณพ่อ มันก็จบด้วยความตาย และสุดท้ายเรื่องของแอนน์-มารี ภรรยาเก่าของเขา ก็จบลงด้วยความตายอีกเหมือนกัน น้องชายของเขาเองก็เคยพูดบ่อยครั้งเรื่องที่ว่าน้องอาจจะอยากอยู่บนโลกนี้ไม่นาน บางครั้งไนท์ลีย์ก็นึกภาพว่าอีกสิบปีข้างหน้า—ด้วยสถานการณ์ โอกาส หรือทางเลือก เขาอาจจะเหลือเพียงตัวคนเดียว ลึกลงไปเขาก็อยากจะจากโลกนี้ไปก่อนที่คนอื่นจะจากเขาไป แต่—

 

สิ่งที่ช่วยให้ยึดเหนี่ยว อาจจะเป็นแมรี่ แต่แม้กระทั่งแมรี่เอง ก็ยังมีปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือความควบคุม สถานการณ์ที่เขาอาจปกป้องเธอไม่ได้

 

และเพียงเพราะเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรับมือกับแผลเป็นที่ยังหลงเหลือในจิตใจได้ดี เขาก็เอามันไปลงกับควอแตร์ ในงานกาล่าวันเดียวกันนั้น เขาเอ่ยกับเธอว่า “เอาเข้าจริงแล้ว ผมไม่มีหลักประกันอะไรด้วยซ้ำว่าจะเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้นได้  ‘คุณ’ ต้องรับผิดชอบความสุขของตัวเอง”

 

เฉียบพลันนั้นเองที่ดูเหมือนเขาจะทำให้เธอเครียดขึ้นมา “ฉัน… ไม่ได้อยากให้ใครทำให้ฉันมีความสุข ฉันต่างหากที่อยากจะสร้างความสุขให้คนอื่น… ให้คุณ”

 

แล้วเขาก็ทำควอแตร์ร้องไห้อีกแล้ว

 

_

 

เขาเคยชวนเธอไปดูพลุด้วยกัน

 

“เป็นครั้งแรกเลยนะคะ ที่ได้มานั่งดูแบบนี้ ฉันหมายถึง ปกติเดินดูคนเดียว ไม่ก็นอนอยู่ที่ห้องน่ะ ขอบคุณที่มาด้วยกันนะคะ แล้วก็…” เสียงของเธอในประโยคสุดท้ายพลันโดนผู้คนรอบข้างร้องเฮต้อนรับดอกไม้ไฟดังกลบไปหมด ควอแตร์สะดุ้งตกใจ แล้วหลุดหัวเราะแหะ ๆ  เธอหันกลับไปมองพลุ แล้วมองมันเงียบ ๆ

 

ไนท์ลีย์เงยมองภาพพลุที่ดูสวยงามกว่าที่เขาเคยจำได้ เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายมาดูพลุแบบนี้เมื่อไร แต่ชั่วนาทีนั้นมันดูจะไม่สำคัญ ในจังหวะที่มีพลุระเบิดออกมากมายบนฟ้า เขาก็หันมามองเธอ

 

หัวใจของเขาเหมือนจะบีบรัด และระเบิดออก

 

 

 

The End.

 

Posted in Writing

[WZD] ความไม่คุ้นชิน

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของpasted image 0.png

 

Pairing: Vasilios Argyris/Sylem Dagile

Rating: PG

 

 

_

 

 

 

ความไม่คุ้นชิน

 

หากนึกย้อนไปตอนนี้ เสี้ยวหนึ่งของวาซิลิออสคิดว่ากับไซเลม ดาไจล์นั้นเป็นความรู้สึกที่ชวนสบายและเป็นมิตรตั้งแต่แรกเห็น และส่วนที่เหลือเป็นเพียงเหตุผลที่เขาสร้างขึ้น โยงใยจนออกมาเป็นรูปร่างในที่สุดว่าทำไมเขาถึงรักคนคนนี้ แต่หากว่ากันตามจริงแล้ว มันก็ซับซ้อนกว่านั้น เวลาที่เขาสังเกตใครในทีแรก สัญชาตญาณที่จะทำเป็นอย่างแรกคือสังเกตภาพที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป—เหมือนกับทุก ๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิต

เขาเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ ไม่ได้คิดจะลงวิชาฝึกบินด้วยไม้กวาดในปีแรกหรือปีที่สอง เขามองว่ามันเป็นอะไรที่เริ่มทำในปีที่สามก็ได้ หลังจากนั้นถึงจะเริ่มใช้มันจริงจังในช่วงที่ทำงานหลังเรียนจบ

ชีวิตนักเรียนช่วงปีหนึ่งและสองของเขาที่ Wizardry Academy… สิ่งที่จำเป็นในการมีชีวิตอยู่นั้น ช่างมีน้อยนิดเหลือเกิน

เหตุผลที่ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ก็น้อยยิ่งกว่า

_

ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เริ่มออกมาเดินเล่นในโรงเรียนยามเช้ามืดของช่วงปีสาม ก็อาจไม่มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ดาไจล์จนกระทั่งเรียนจบไปเลยก็ได้ เขาคิดแบบนั้น

ในเวลาเงียบเหงาที่คาดว่าจะไม่ได้พบใครนั้น อาจารย์ก็ส่งเสียงจากหลังเสาบอกทักอรุณสวัสดิ์ ด้วยเสียงยานคางราวกับวิญญาณหลอน

“อรุณสวัสดิ์ครับ อาจารย์ดาไจล์… ตื่นเช้าจัง”

“นี่ไม่ใช่ดาไจล์ นี่คือเสา… เสาไม่มีวันหลับ”

“ง… งั้นเหรอครับ” วาซิลิออสเอ่ยอย่างเสียมิได้ เสียงอาจารย์ชัด ๆ แต่… เสาก็เสา “แล้วทำไมคุณเสาไม่หลับไม่นอนล่ะครับ หรือว่าแค่ตื่นเช้า”

“เสาเดินมาผิดบ้าน ทางมันมืด ๆ  เสาตาลาย… ที่นี่บ้านอะไร”

เสียงแบบนี้ เมาเหรอ… อาจารย์นี่น้า “บ้านแกะตัวผู้ครับ” วาซิลิออสกระแอม “เอ่อ… ตาลายสินะ คุณเสาเอาน้ำไหม” หลังจากนั้นเขาก็แว่วเสียงพึมพำว่า ‘เดินผิดอีกแล้ว’ ก่อนที่ ‘คุณเสา’ ที่ว่าจะขอน้ำและบอกห้ามไม่ให้บอกใครว่าเจอเสาที่นี่ วาซิลิออสจึงตอบไปว่า “ได้ ไม่บอกใครหรอกคร้าบ ผมไม่ได้สนิทกับใครปานนั้นสักหน่อย” เขายืดเส้นยืดสาย “คุณเสารอตรงนี้ห้ามขยับไปไหนนะครับ เดี๋ยวไม่ได้ดื่มน้ำนะ” เขากล่าวราวกับสอนเด็ก ๆ ก่อนจะผละไปเอาน้ำมาแก้วหนึ่ง เมื่อกลับมาก็ใช้หางของตนวางแก้วนั้นลงบนพื้น หางของเขาเลื่อนแก้วให้อีกฝ่ายแบบไม่ต้องเห็นหน้ากัน

“งั้นว่าง ๆ มานั่งคุยกับเสาไหม เสาว่างมาก ๆ”

“ได้สิครับ ผมก็ว่างมาก ๆ เหมือนกัน” เขาเอนกายพิงเสาแล้วไถร่นกายนั่งลง แล้วถอนหายใจ “เปิดเทอมคนยังย้ายกันมาไม่หมดเลย แต่ก็ชอบอยู่ที่นี่มากกว่าบ้านล่ะ… แล้วคุณเสาว่างแบบนี้ไม่เหงาหรือครับ”

“งี้แหละตอนใกล้เปิดเทอม เดี๋ยวคนก็เยอะ  ‘คุณหาง’ ก็จะไม่เหงาแล้ว เสาเหงามาก แต่นักเรียนเริ่มจะมากันแล้ว คงจะไม่ว่างในเร็ว ๆ นี้… ซึ่งดีแล้ว”

เขาถดหางกลับมาให้พ้นสายตาเมื่อโดนเรียกด้วยชื่อใหม่ จะเรียกว่ากระดากก็คงใช่ ถ้อยประโยคเหล่านั้นชวนให้วาซิลิออสนึกสงสัยว่าเขาดูเหงารึเปล่า สำหรับเขาแล้วการที่ ‘ดูเหมือนเหงา’ กับ ‘รู้สึกเหงา’ นั้นไม่เหมือนกัน แต่เอาเข้าจริงจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญสักเท่าไร ที่น่าสนใจมากกว่าคือ ส่วนหนึ่งเขามองว่าการที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะพูดออกมาอย่างง่ายดายว่าเหงามากนั้นเป็นเรื่องแปลกดี ตามปกติแล้วยามที่คนเราโตขึ้น ก็ยิ่งจะอยู่ในสถานการณ์ที่พูดความรู้สึกตัวเองยากขึ้น และหากจะพูดออกมา ก็จำต้องหาเหตุผลมาชี้แจงว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนั้น มิเช่นนั้นแล้วความรู้สึกทั้งหมดนั่นจะไม่เป็นที่ยอมรับ

เขาคิดว่า โลกที่เขาอยู่เป็นแบบนั้น เขาคิดว่า คุณเสาเป็นคนที่แปลกในโลกของเขา กระนั้น ก็เป็นความแปลกที่ชวนให้รู้สึกเบาตัวลงอย่างประหลาด

_

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เขาก็ออกมาดูดาวกลางดึก และก็เป็นอีกครั้งที่ได้ยินเสียงทักจากเงามืด

“ไม่หลับไม่นอน”

“คุณเสา… หรือครับ”

“คุณหางไม่ยอมนอนอีกแล้วนะครับน่ะ”

เอ๊ะ เสียงวันนี้ไม่ได้เมานี่ วาซิลิออสคิด ในวันนี้อาจารย์ดาไจล์ไม่ได้ยืนอยู่หลังเสา แต่ก็มืดจนยากจะมองเห็นคุณเสาได้ชัด แต่กลายเป็นหวั่นเกรงระคนประหม่าหากอีกฝ่ายจะเห็นเขาเข้าเต็ม ๆ เสียอย่างนั้น พวกเขาคุยกันเรื่อยเปื่อย พูดถึงดวงดาวบ้าง บางอย่างก็ไม่ใช่อะไรที่เขาไม่เคยคุยกับคนอื่นมาก่อน แต่เนื้อหากลับแตกต่างออกไปจากทุกอย่างที่เคยพบมาเสียหมด

มีครั้งหนึ่งที่คุณเสากล่าวกับเขาว่า “การที่เราไม่สบายใจอะไรแล้วบอกออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือหรือไว้ใจ มันเรียกว่าการเปิดใจน่ะ”

วาซิลิออสได้แต่เงียบไป ฟังไปก็อดที่จะเหงื่อตกนิด ๆ ไม่ได้ “การเปิดใจมันน่ากลัวสำหรับคุณหางน่ะ นี่ยอมบอกเพราะว่าเป็นถึงคุณเสาหรอกนะคร้าบ” เขาว่าพลางยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกว่านี่เป็นความลับ “คุณเสาสมัยเป็นนักเรียนเนี่ย… เป็นคนยังไงกันนะครับ หากผมจะขออนุญาตถามล่ะก็”

“ถามได้ ความสงสัยไม่มีความผิด”

การคุยในช่วงเวลาแบบนั้น จะเรียกว่าเริ่มกลายเป็นความเคยชินก็ไม่ใช่ อันที่จริงแล้วทุกอย่างถือว่าตรงข้ามกับความเคยชิน เขาไม่เคยรู้ว่าคำพูดและคำนิยามบางอย่างสามารถได้รับการบรรยายออกมาอย่างง่ายดายในแบบที่คุณเสาทำได้ด้วย

ช่วงเวลาเหล่านั้นอาจเป็นระเบิดเวลา อีกไม่ช้านานอาจารย์ดาไจล์ก็จะรู้ว่าเขาไม่มีความเข้าใจในเรื่องแบบนี้เลย หรือบางทีเขาอาจจะโดนจับได้แล้วก็ได้

เขาไม่รู้ว่าปกติคนเราเปิดใจยังไง

เขาไม่รู้ว่าจะสงสัยอะไรยังไงโดยที่จะไม่ทำพลาด

_

หากถามว่าเริ่มตกหลุมรักเมื่อไร จนถึงบัดนี้วาซิลิออสก็อาจจะยังชี้แจงไม่ได้ (แต่เขาจำได้ว่ารู้ตัวเมื่อไร—วันที่ดูดาวตกด้วยกันนั้น) แต่หากในเรื่องว่าเริ่ม ‘ชอบ’ เมื่อไร เขาพอจะจับจุดได้อยู่ แม้ว่าตอนนั้นจะไม่ได้รู้ตัวเป็นพิเศษ

“อยาก—อยากให้อาจารย์พาบินไปดูดาว” วาซิลิออสทำสัญลักษณ์มือบินขึ้นประกอบ “แลกกับให้สั่งอะไรผมหนึ่งวันประมาณนี้ก็ได้ครับ” จะเรียกว่าต้องใช้ความกล้าในการขอไหม ก็คงใช่ แม้ในตอนนั้นเขาจะไม่ได้คิดอะไรมากความ แต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นการรบกวน อาจถึงขั้นละลาบละล้วง ซึ่งเข้าใจได้หากอาจารย์ดาไจล์จะปฏิเสธ ความคิดของเขาในตอนนั้นก็เพียงแค่อยากจะดูดาวจากบนไม้กวาดอย่างที่อาจารย์ดาไจล์เคยบรรยายให้ฟังสักครั้ง แต่โดยปกติ ร้อยทั้งร้อย ทุกคนย่อมต้องการสิ่งตอบแทน เขาไม่อยากติดค้างอะไร จึงพยายามเสนอให้อีกฝ่ายขออะไรตอบแทน เขาไม่แน่ใจว่าเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเลือกอะไร วาซิลิออสคงเพียงนึกภาพว่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่เขาทำเพื่อเป็นผลประโยชน์ต่ออาจารย์ แล้วก็หายกันไป แค่นั้น

ในตอนแรกอาจารย์ดาไจล์บอกว่านึกไม่ออกนัก และพอวาซิลิออสพยายามย้ำเรื่องที่ว่าต้องมีค่าตอบแทน มิเช่นนั้นแล้วเขาจะรู้สึกค้างคา อาจารย์ก็เสนอมาในที่สุดว่า ให้วาซิลิออสไปทำอาหารให้และนั่งกินด้วยกันก่อนไปเรียนในยามเช้าเวลา 7 นาฬิกาของวันศุกร์วันหนึ่ง โดยย้ำว่าต้องทำมาด้วยตัวเอง เมื่อได้ยินดังนั้น วาซิลิออสก็เริ่มอิดออด อาจารย์ดาไจล์ดูจะมีแววเอ็นดูระคนเจ้าเล่ห์ขึ้นมา แล้วมอบโจทย์เมนูให้เขาด้วย ซึ่งทำให้ทุกอย่างดูยากขึ้นกว่าเดิม เพราะวาซิลิออสทำเป็นแต่เมนูง่าย ๆ เท่านั้นเอง

_

จนถึงตอนนี้ ‘พี่ไซเลม’ ของเขาจะรู้รึยังว่าทำไมตอนนั้นวาซิลิออสถึงไปเผลอชอบเจ้าตัวเข้า

อาจจะเพราะค่าตอบแทนของคำขอแบบเอาแต่ใจของเขา คือช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น และพยายามดึงให้เขาทำอะไรใหม่ ๆ ที่อาจมีประโยชน์ต่อตัวเขาในอนาคตด้วยกระมัง

ไม่สิ แท้จริงแล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องพูดให้สวยหรูแบบนั้น เขาไม่คุ้นชินกับค่าตอบแทนที่ราวกับเป็นการมอบความสุขให้เขาด้วย ก็เท่านั้นเอง

The End.

Posted in Writing

[WWW] Reminiscence of Her

Holinesz's Chamber

*เอ็นทรี่นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู WWW*


Farron Zerh’s Side

[Reminiscence]

ดอกลิลลี่สีขาวสะอาดถูกวางลงบนปากหลุม เบื้องล่างนั้น… คือร่างไร้ลมหายใจของหญิงสาวคนหนึ่งนอนหลับนิ่งสงบ… ไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีกต่อไปแล้ว

เขายังจำได้ดี… ถึงรอยยิ้มของเด็กสาวคนนั้น

ในช่วงเวลาที่ฟาร์รอนคิดว่าชีวิตของเขาคงจะไม่มีอะไรบัดซบไปกว่านี้อีกแล้ว

ใบอนุมัติไปเที่ยวฮ็อกมี้ดที่ควรจะมีลายเซ็นของผู้ปกครองถูกขยำทิ้งไว้บนโต๊ะ กระดาษสีขุ่นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและร่องรอยน่าโสโครก ฟาร์รอนขยำมันด้วยมือสั่นเทาแล้วปาเข้าไปในเปลวเพลิงจากเตาผิงด้วยแรงโทสะทั้งหมดที่มี

เด็กหนุ่มในวัยสิบห้าสูดหายใจลึก ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องนั่งเล่นว่างเปล่าเพื่อสงบสติอารมณ์

แต่นึกไม่ถึงว่านอกจากจะไม่เย็นลงแล้ว เขากลับเจอตัวปัญหาที่ทำให้อารมณ์คุกรุ่นยิ่งปะทุมากกว่าเดิม

“มิสเตอร์เซียไม่ไปเที่ยวกับคนอื่นเขาหรือไง?” น้ำเสียงนิ่งเรียบที่ฟังแล้วรู้สึกว่ามันกวนประสาทมากกว่าจะเป็นประโยคเอ่ยถามดังขึ้นมาจากด้านหลัง ฟาร์รอนปิดหนังสือในมือ หันกลับไปเผชิญหน้ากับคู่ปรับจากบ้านเรเวนคลอด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

แต่สีฝ่ายคงจะไม่สนใจว่าสีหน้าของเขามันจะเขียนบอกไว้ชัดเจนว่าไม่ควรเข้าใกล้ วิลเลียม เดรคจึงถือวิสาสะก้าวเข้ามาหาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ไม่ใช่เรื่องของนาย”

เขาพยายามตัดบทเพื่อที่จะเดินเลี่ยงจากบทสนทนานี้ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ(หรือแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจเขาก็ไม่แน่ใจ)

“ได้ยินว่านายไปฮอกมี้ดส์ไม่ได้เพราะไม่มีลายเซ็นผู้ปกครองเหรอ?”

รู้แล้วมันจะถามทำไมวะ

ฟาร์รอนพยายามสูดหายใจลึกๆ “ใช่ แล้วจะทำไม?”

แทนคำตอบ ขนมถุงใหญ่ถูกโยนลงมาบนตัก เด็กหนุ่มหรี่ตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่โยนมันมา

“ฉันให้” วิลเลี่ยม เดรคเอ่ยเสียงเรียบพลางยกมือขึ้นกอดอก “พอดีซื้อมาเยอะเกินไป จะทิ้งก็เสียดาย”

“…”

“นึกได้ว่านายคงไม่มีโอกาสได้กินมันเลยเอามาแบ่ง ยังไงก็ดีกว่าโยนทิ้งแหละนะ”

และนั่นทำให้เส้นความอดทนทั้งหมดของเขาขาดผึง

สันหนังสือลอยละลิ่วไปกระแทกคู่สนทนา เขาลุกขึ้นเดินหนีออกมาโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บหรือไม่

ฟาร์รอนไม่เข้าใจ… รู้ดีว่าชีวิตเขามันไม่ได้ดีเหมือนใคร

แต่เขาไม่เคยต้องการความรู้สึกสมเพชจากใคร…โดยเฉพาะวิลเลียม เดรค

ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเขาจำไม่ได้แล้วว่าคุณชายหยิ่งยโสนั่นหยิบยื่นสิ่งของอะไรมาให้พร้อมกับประโยคชวนสมเพชและดูถูกต่างๆ นาๆ

ทั้งไร้ค่า… และสกปรก…

เกลียด…

ความเกลียดในใจของเขามันเริ่มหยั่งลึกลงไปเรื่อยๆ

ฟาร์รอนเกลียดทุกสิ่ง

เกลียดที่สุดคือชีวิตบัดซบงี่เง่าของตัวเอง

[*]

ทุกๆ ครั้ง สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้คือการหลบมายังที่ซ่อนลับในสวน หามุมเงียบสงบและหยิบไวโอลินตัวโปรดขึ้นมาบรรเลงเพลงอย่างโดดเดี่ยว

จนกระทั่งได้เจอกับเด็กสาวคนหนึ่ง

‘เพราะมากเลยค่ะ ไม่ได้ฟังเพลงที่ให้บรรยากาศแบบนี้มานานแล้ว’ 

‘ขอโทษที่รบกวนนะคะ แต่มันเพราะเสียจนคิดว่าอยากให้รุ่นพี่ได้รับรู้น่ะค่ะ’

ท่าทางนิ่งสงบและเป็นธรรมชาติของเด็กสาวคนนั้นสะดุดตาเขาตั้งแต่แรกเห็น 

‘เบอร์แทรมค่ะ ลาน่า เบอร์แทรม’

‘ขออนุญาติเรียกรุ่นพี่ว่าพี่เซียนะคะ’

ชื่อที่ถูกเอ่ยมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทว่านุ่มนวลค่อยๆ ทำให้เขายิ้มออกมา

นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มของใครสักคน หลังจากสิ้นสุดโน้ตตัวสุดท้าย เสียงเพลงที่เธอขอให้เขาเล่นให้ฟังจบลง ฟาร์รอนกะพริบตาปริบ เหลือบมองปฏิกิริยาของเด็กสาวตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่าเขาเล่นเป็นยังไงบ้าง

ฟาร์รอนจำไม่ได้แล้วว่าดีใจแค่ไหนที่ได้ยินคำตอบพร้อมกับรอยยิ้มของเด็กสาวคนนั้น

บทสนทนาต่อมาของพวกเขามีเพียงหัวข้อเกี่ยวกับดนตรีและเวทมนตร์สั้นๆ ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากขอตัว

ตอนนั้นเขาไม่ลืมรับปากว่าจะเล่นไวโอลินให้เธอฟังอีกครั้งหากว่าเธอยังต้องการ

ทว่าผ่านมากว่าหลายปี… โอกาสนั้นก็ไม่เคยมาถึง

จนกระทั่งวันนี้…ที่เขามายืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพของเธอ

ไวโอลินสีดำสนิทถูกยกขึ้นจรดบนไหล่ ก่อนที่เสียงเพลงจะค่อยๆ ดังขึ้นท่ามกลางงานไว้อาลัยอันเงียบสงบ 

{River Flows in You}

สิ้นสุดโน้ตเพลงสุดท้าย ฟาร์รอนไม่หวังให้มีใครลุกขึ้นปรบมือ 

ทว่าความหวังอันน้อยนิดของเขามีเพียงแค่ได้เห็นเด็กสาวคนเดิมยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยชมบทเพลงของเขาอีกครั้ง

แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม 

ฟาร์รอนพับเก็บไวโอลินลงกล่อง หันไปขอบคุณน้องสาวของเธอพร้อมกับเอ่ยลาเจ้าของงานและเพื่อนร่วมงานของตน ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมาจากงานโดยไม่ฟังเสียงร้องทักของใครอีกคนเบื้องหลัง

ทว่าแรงดึงจากแขนทำให้เขาหยุดชะงัก

“นายจะไปไหน?” ฟาร์รอนเลิกคิ้ว หลับตาลงชั่ววิก่อนจะลืมขึ้นพร้อมรอยยิ้มและหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของมือ

“หมดธุระแล้วฉันคงต้องกลับก่อน… ยังไงซะฉันก็เป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญของที่นี่” น้ำเสียงของเขาฟังดูเรียบเรื่อย ขณะค่อยๆ แกะมือบนแขนตัวเองออกอย่างไม่ให้เสียมารยาท

“ทำไมจะไม่—“

“นายอยู่ต่อจนจบงานเถอะ” ไม่ทันรอให้อีกฝ่ายเอ่ยจบเขาก็ชิงตัดบทไปเสียก่อน

ฟาร์รอนไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเขาแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป คุณชายคนโตของตระกูลเดรคจึงชะงักไปครู่ใหญ่และไม่เอ่ยค้านอะไรอีก

เห็นดังนั้นเขาจึงหมุนตัวหันหลังให้เพื่อนร่วมงาน แตะไม้กายสิทธิ์เบาๆ ก่อนจะหายลับไปจากบริเวณนั้น

เขาเป็นแขกที่ไม่สมควรไปอยู่ตรงนั้น

แม้แต่งานที่แสนจะมืดหม่นแบบนี้ ตัวเขายังคงสกปรกเกินกว่าจะยืนอยู่ตรงนั้น… 

หากมีสักครั้ง….ถ้าหากมีสิ่งที่ทำให้ฟาร์รอนรู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิต

หนึ่งในนั้นคงเป็นความตายของลาน่า

‘จะกลับมาสีไวโอลินได้อีกไหมนะ’

‘มันมีความหมายว่าความหวังอยู่ด้วย คิดว่าเหมาะกับคุณเซียที่สุดแล้ว’

วันนั้น… ในห้วงแห่งการหลับไหล กลิ่นดอกไอริสจางๆ ลอยมาแตะจมูก ใบหูคล้ายกับได้ยินเสียงของเธอจากที่ไกลๆ 

หากรู้ว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ยินเสียงของเธอ

ฟาร์รอนยอมแลกกับทุกๆ อย่างเพื่อให้ตัวเองตื่นขึ้นมาฟัง… แม้เพียงไม่กี่วินาที

แต่เพราะเวลาเดินถอยหลังไม่ได้

และตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว

END

เป็นฟิคที่แต่งเอาไว้นานแล้วและไม่อยากปล่อยทิ้งเอาไว้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเลยเอามาลงซะเลยค่ะ U _ U ตอนเขียนถึงลาน่าแอบปวดหน่วงในใจมากๆ…

View original post 5 more words

Posted in Writing

[Christoper/Osbourne] Christmas, 2016

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ
Rating: PG

 

_

 

 

 

[ออสบอร์นเอาของไปวางใต้ต้นคริสต์มาสหลังจากที่รักหลับไปแล้ว เป็นซองจดหมายสีชมพูอ่อนจางแนบอยู่พร้อมกับแผ่นซีดีแผ่นหนึ่ง แผ่นซีดีอยู่ในกล่องใส่ซีดีบางใสธรรมดา

 

ทั้งบนซองจดหมายและบนหน้าซีดีเขียนไว้ว่า

 

‘For Chris

Christmas, 2016

From Santa’

 

ในซองสีชมพูเป็นจดหมาย กระดาษขาว เขียนด้วยลายมือที่ออกหวัดแต่ก็ดูจะพยายามเขียนให้เป็นระเบียบ]

 

 

 

หมายเหตุ: พยายามอย่าอ่านจดหมายฉบับนี้ต่อหน้าผมเลยนะครับ (ผมเขินน่ะครับ)

 

คริส ที่รัก

 

สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ ขอให้มีความสุขมาก ๆ  สุขภาพแข็งแรงครับ อาจจะแปลกอยู่สักหน่อยที่อยู่บ้านเดียวกันแล้วยังตัดสินใจเขียนจดหมายให้ แต่คิดว่าอย่างน้อยที่รักก็จะได้มีอะไรเป็นที่ระลึกอ่านได้ ถึงอย่างนั้น สมัยนี้อาจจะเชยเกินไปแล้วรึเปล่านะครับ ที่รักจะชอบ e-card มากกว่าไหมนะครับ ในเมื่อสามารถเปิดดูโดยไม่ต้องยึดกับตัวกระดาษ กระทั่งซีดีก็อาจจะดูเชยเกินไปหน่อย… คิดแบบนั้นแล้วเวลาก็ผ่านไปเร็วเอามาก ๆ เลยล่ะครับ สมัยเด็กผมยังไม่มีเครื่อง VCD เลย

 

ตอนแรกว่าจะถักอะไรให้ แต่ก็อยากให้อะไรที่ต่างออกไปจากเดิมสักหน่อยน่ะครับ ระหว่างที่เขียนอยู่นี่ก็เพิ่งมาคิดเอาตอนนี้ว่า น่าจะให้อะไรที่เป็นประโยชน์กว่านี้ ถึงอย่างนั้นผมก็หวังว่าที่รักจะชอบของขวัญชิ้นนี้นะครับ

 

เขียนเป็นจดหมายก็อยากจะพยายามเล่าอะไรที่สวยงามให้คุณฟังนะครับ ทุกวันนี้ผมพยายามจะตื่นนอนเวลาเดิมหรือใกล้เคียงกับเวลาเดิมหน่อย บางวันก็อาจได้ตื่นมาชงชาให้ที่รักบ้าง แต่บางวันก็เผลอตื่นเลยเวลาที่คุณไปทำงานแล้ว (พยายามไม่ลืมที่จะซื้อชาพีชมา พวกชาผลไม้สดชื่นดีนี่นะครับ ช่วงนี้ที่รักชอบชาแบบไหนอีกรึเปล่าครับ เขียนไว้ใน post-it note แปะทิ้งไว้บนโต๊ะในห้องครัวได้นะครับ) แต่ทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าจะตื่นมาด้วยความรู้สึกสงบล่ะครับ แล้วก็หลับค่อนข้างสนิท อาจยังคงมีอยู่บ้างที่ผมหลับไม่สนิท แต่นั่นคงเป็นที่ผมเองที่เป็นแบบนั้นมายาวนาน แต่ปกติถ้าสะลึมสะลือแล้วรู้สึกถึงตัวตนที่รักอยู่กลางดึกก็กลับไปหลับได้โดยง่าย ส่วนตอนตื่น—ผมจำได้ว่าที่รักเคยพูดถึงกลิ่นของผม ผมเองก็คิดว่าที่รักเองก็มีกลิ่นเฉพาะตัวเหมือนกัน อาจจะไม่เหมือนอะไรที่ผมคุ้นเคยในวัยเด็กเลย แต่ก็คงต้องเป็นกลิ่นที่ผมได้เรียนรู้ที่จะคุ้นเคยและรู้สึกปลอดภัยด้วยแน่ ๆ  พอผมเข้าครัวไปชงกาแฟให้ตัวเอง แล้วเริ่มตาสว่างขึ้นอย่างเชื่องช้า ก็ค่อย ๆ ตระหนักว่ากำลังเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้ ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ผมปั่นจักรยานออกไปบ้าง แต่ข้างนอกค่อนข้างวุ่นวาย ก็เลยพยายามรีบกลับ เวลาที่ปั่นจักรยาน ผมมักจะไม่ได้เห็นทั้งอาทิตย์ขึ้นหรืออาทิตย์ตกดิน มาถึงบ้านก็มีแสงไฟนีออน ถึงห้องนอนถ้ามองหน้าต่างบนเพดานก็ได้เห็นแสงดาวหรือแสงจันทร์ ถ้ามีที่รักอยู่ด้วยก็มีแสงสว่างเหมือนอยู่กลางทุ่งหญ้า ทั้งวันผมก็เลยไม่ได้อยู่กับความมืด ทุกวันนี้ผมอาจจะไม่ได้เสี่ยงชีวิตแบบเก่า แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยผมก็คงพอทำอะไรที่เปลี่ยนอะไรบ้างในโลกอันกว้างใหญ่นี้ บางทีอาจสร้างโลกที่สวยงามเล็ก ๆ ให้ที่รักได้ด้วย บางครั้งที่ออกไปข้างนอกก็เห็นเหล่าผู้คนไม่มีบ้านบ้าง ก็คิดขึ้นมาว่า ตลอดมาผมโชคดีเพียงพอที่มีที่อยู่อาศัยตลอด แม้จะเคยมีประสบการณ์ต้องตากอากาศหนาวอยู่ข้างนอกโดยไม่มีที่นอนมาก่อน ผมไม่มีวันเหล่านั้นอีกแล้ว ไม่มีกระทั่งวันที่ลืมเปิดฮีทเตอร์ปล่อยให้ตัวเองนอนหนาวโดยไม่สนใจอะไร ผมคิดว่า ที่ผมไม่ได้อยู่กับความมืดอีกแล้ว ก็คงเพราะที่รักพยายามปกป้องผมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ผมรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

 

ที่จริงส่วนหนึ่งของผมอาจจะตายไปแล้วในวันนันเมื่อนานมาแล้ว และที่รักก็ทำให้ผมฟื้นขึ้น สร้างวัยเด็กให้ผมใหม่ ทั้งที่ผมก็ไม่ใช่ทั้งเด็กดี และก็ไม่ใช่ทั้งคนดี (ผมพูดตามที่ใจจริงของผมคิดนะครับ) แต่ว่า… ผมก็สามารถพยายามเป็นเด็กดี ผม [ขีดฆ่าอะไรสักอย่างคล้ายลังเลเปลี่ยนใจสิ่งที่จะพูด] คิดว่าผมเองก็มีส่วนจริง ๆ ที่ทำให้คุณพ่อและคุณแม่เลิกรักผม และผมก็คงทำลายบางอย่างในตัวพวกท่านไปแล้ว ผมไม่อยากให้ส่วนใดของจิตวิญญาณของที่รักถูกทำลายลง ปรารถนาให้ที่รักรู้สึกปลอดภัยที่ได้รักคนคนนี้ ที่จริงแล้วที่รักเป็นเด็กดีมาตลอด เพราะแบบนั้นคุณซานต้าถึงขอให้ผมช่วยทำของขวัญให้ ที่รักเป็นตัวอย่างเด็กดีของผม ที่รักเป็นตัวอย่างความรักของผม ต่อให้เห็นในทีวีบ่อยแค่ไหน ผมไม่รู้โดยแท้จริงว่า ปกติแล้ว พ่อแม่ให้ความรักกับลูกแบบไหน ผมเคยมีความทรงจำดี ๆ ในวัยเด็กบ้างก็จริง แต่ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว ผมมองที่รัก แล้วก็คิดว่า ป๊ะป๋าคงมอบความรักแบบนี้

 

เพราะฉะนั้น ผมก็อยากจะเป็นคุณแม่ที่ดีให้คุณได้—โดยไม่ได้ตั้งใจจะคิดทดแทนคุณแม่ที่แท้จริงของคุณแต่อย่างใด ผมเพียงแต่ต้องการที่จะสามารถอยู่เคียงข้างคุณในแบบนั้น คิดว่า บางส่วน บางอย่างในตัวผม อาจสามารถเป็นผู้ดูแลและผู้พิทักษ์ของคนที่ผมรักได้บ้างเหมือนกัน ปีที่ผ่านมานี้ผมปล่อยให้ตัวเองทำตัวเป็นเด็กเล็ก ๆ ต่อหน้าคุณ ซึ่งแม้กระทั่งหลังจากพวกเราตกลงเป็นคนรักกันแล้ว ผมเองก็ใช้เวลานานนักจึงจะวางใจปล่อยให้ตัวเองทำตัวเช่นนั้น ผมคิดว่า คงไม่แปลก หากที่รักจะใช้เวลาเช่นกันในการจะวางใจผมไม่ว่าในแบบไหนก็ตาม ถึงอย่างนั้น ผมก็หวังว่าผมคงสามารถทำให้คุณรู้สึกเหมือนโดนอุ้มแล้วจะไม่โดนปล่อยให้ร่วงลงได้

 

ให้เกียรติผมโอบอุ้มคุณไว้นะครับ ในเมื่อคุณเป็นหมอ อาจจะไม่มีเวลามาอยู่กับผมในวันนี้ก็ได้ แต่คุณซานต้าคงให้พรคุณอยู่แน่ ๆ

 

รักครับ

เรจินัลด์

 

ปล. ฟังซีดีแล้ว อย่าหัวเราะต่อหน้าผมนะครับ (ฮือ)

 

[ในซีดีมีเพลง The Way You Look Tonight กับ L-O-V-E ของแฟรงค์ ซินาต้า ร้องด้วยเสียงของออสบอร์น ถึงเนื้อเสียงจะไม่มีพลังนักแต่ก็ร้องได้ถูกคีย์และอัดเข้ากับทำนองได้ดี]

 

 

 

The End.

 

ทิ้งท้าย:

OLYMPUS DIGITAL CAMERA
เขาซื้อกาแฟจากเมื่อวันก่อนคริสต์มาสอีฟ แล้วได้คุกกี้คุณขนมปังขิงมาด้วย สุดท้ายก็เลยเดินไปซื้อคุกกี้ขนมปังขิงเพิ่มมา เอามาใส่กระปุกทิ้งไว้ที่โต๊ะอาหาร
Posted in Writing

[WWW] 23rd December, 2016

www6.jpg

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ #WWWXmas2016 คอมมู World Wizarding War

 

_

 

 

 

23rd December, 2016

 

ไม่ว่าในสถานการณ์ใด เวทมนตร์นั้นคืออำนาจ ลาน่า เบอร์แทรมมองไม้กายสิทธิ์คุ้นมือที่ไร้ประโยชน์พลันไร้ประโยชน์ต่อตนเอง ถ้าเพียงแต่เธอทำอะไรได้—ความใคร่รู้เข้าครอบงำ ทำไมลำพังคาถาเรียบง่ายจึงไม่ได้ผล เหตุใดกับคนอื่นจึงได้ผล เป็นเรื่องของไม้กายสิทธิ์หรือ ย่อมไม่ใช่ เธอเชื่อใจไม้กายสิทธิ์ของเธอเสียยิ่งกว่าเชื่อใจมนุษย์ปกติทั่วไป ไม่ใช่ที่ไม้ อาจด้วยสถานที่ – ก็ด้วยเวทมนตร์ที่มีอำนาจเหนือกว่าในสถานที่นั้น ๆ กระมัง (—หรือว่าเธอมีบางอย่างที่ต่างจากคนอื่นในตอนนี้)

ครั้นตระหนักว่าประโยชน์ของเธอลดลงไปกว่าครึ่ง เธอก็คงไม่อาจยืนอยู่เป็นตัวถ่วงเช่นนั้น จึงก้าวต่อไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางหิมะสีขาว ไม่ทันสังเกตถึงความหนาว (—ไม่ทันสังเกตว่าเลือดเนื้อของเธอตระหนักถึงความหนาวหรือไม่) เธอสาวเท้าไปบนหิมะ เจอกำแพงหิมะกีดขวางที่ลำพังมือเล็ก ๆ ของเธอไม่อาจทำอะไรได้ เธอก้าวไปตามสัญชาตญาณ มีบางอย่างเกี่ยวกับที่นี่ที่ทำให้เธอคิดว่าควรเร่งรีบ (—มีบางอย่างที่เลื่อนลอย มีบางอย่างที่เธอพลาดไป แววตาชวนสงสัยของคนอื่นหรือ คำพูดคลุมเครือ มีบางอย่างห่างเหินระหว่างเธอกับ—บางสิ่ง) ความกลัวเช่นนั้นหรือ

เธอเร่งฝีเท้าไปตามทาง เห็นรอยเท้าที่ทอดยาวไปข้างหน้า การส่งเสียงเรียกที่ไปไม่ถึง—มีเพียงมือที่ถือไม้กายสิทธิ์ที่ไร้ประโยชน์ในสถานที่นี้ – นี่เป็นครั้งแรก ที่เธอใช้มันไม่ได้

ตัวเธอในเวลานี้ก็เป็นเสมือนมักเกิ้ล

ทว่าปกติแล้วเธอไม่เคยเหงา โดยปกติแล้วเธอมักจะอยู่คนเดียว แต่ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ที่นี่เอง ก็ไม่ควรเป็นข้อยกเว้น เธอนึกถึงชายแปลกหน้าในผ้าคลุมที่เจอระหว่างทาง

คำพูดของเขาแปลกหู ความนัยของเขาคลุมเครือ ‘วิญญาณ’ เขาเรียกเธอเช่นนั้น ย่อมเป็นเรื่องปกติ แม่มดที่ร่ายเวทมนตร์ไม่ได้คงไม่ต่างอะไรกับวิญญาณ เธอควรจับกุมเขา หรือเสวนาบางอย่างด้วย ทว่าทุกอย่างดูจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้ตั้งตัว เขาก็หายไป ครั้งนี้เป็นเธอเองที่ตอบสนองช้า แต่แล้วก็มาตระหนักเอาทีหลังว่าหากเขาสามารถใช้เวทมนตร์ตามปกติที่นี่ได้ เธอก็คงไม่อาจป้องกันตัวเองได้ (—เธอควรรู้สึกกลัวหรือไม่ เธอเองยังไม่ทันสังเกต แต่หากรู้สึก นั่นคงเป็นความกลัวในแบบที่มักเกิ้ลกลัวผู้มีพลังวิเศษ)

หากเพียงแต่เธอเจอเงื่อนงำบางอย่าง ก็อาจช่วยอะไรใครได้บ้าง

เคนเนธเงียบเป็นปกติ เขามักจะเงียบเวลาที่เธอทำภารกิจ

(ชั่ววูบหนึ่งเธอรู้สึกเหมือนไม่ได้คุยกับเขามานาน ทั้งที่เธอก็คงเพิ่งคุยกับเขาเมื่อวานนี้เอง—เมื่อวาน—)

เธอเหลือบมองฟากฟ้าดำมืดที่มีหิมะโปรยปราย เสมือนจะแทนที่ดวงดาว ดูโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงาจนเกือบจะน่ากลัว ราวกับเป็นสถานที่ที่เก็บรวบรวมความรู้สึกที่เธอไม่ค่อยรู้จัก

ที่ไหนกัน

ถ้าใช่ยุโรป แล้วนี่มันฤดูหนาว… ตั้งแต่เมื่อไร

เธอคิดก่อนจะหลุดจากสถานที่นั้นได้ในที่สุด

อย่างน้อย วันนี้เธอก็รอดตาย (อย่างน้อย เธอก็คิดเช่นนั้น)

 (การมีชีวิตนั้น นับเป็นเรื่องดี)

 

 

 

The End.

Posted in Writing

[OCs] Ties (1)

Notes: OCs, drabble

Rating: PG-13

Warning: D/s relationship

 

_

 

 

Ties

 

1.

 

ออสวาลด์รู้ตัวว่าเขากำลังก้าวเข้าสู่เรื่องราวใหม่ ๆ เมื่อเอเดรียนอยู่ในห้องนอนของเขา เปลือยเปล่า นอนเหยียดหลังอยู่ที่ฟูกบนพื้น ซึ่งออสวาลด์เป็นคนเตรียมให้ ออสวาลด์ใช้นิ้วเท้านวดเล่นที่สะบักหลังของเอเดรียน ผิวของเอเดรียนติดจะแทนนิดหน่อย ผมสีเกาลัดเป็นระเบียบ เขามีลำคอที่สวย ความคิดหลักของออสวาลด์คือเขาอยากจะบีบรัดมันให้เอเดรียนหายใจลำบากก่อนถึงจุดสุดยอด แต่เรื่องทั้งหมดนั้นเอาไว้ทีหลัง

“ผมขอสูบบุหรี่ได้ไหม” เอเดรียนเอ่ย เอียงศีรษะมาเล็กน้อย จังหวะเดียวที่เท้าของออสวาลด์เลื่อนไปอยู่บนบ่าของเขาพอดี ชั่วขณะหนึ่งออสวาลด์เกือบจะนึกว่าริมฝีปากของเขาจะสัมผัสกับนิ้วเท้าของตน

“ไม่ได้ครับ” ออสวาลด์ตอบเสียงเรียบเรื่อย

เอเดรียนผงกหัวเป็นเชิงรับรู้ ไม่มีความสุภาพในอากัปกิริยาของเขา ออสวาลด์ยังตัดสินใจไม่ได้นักว่าดวงตาของเขาคือสีอะไร มันอยู่ระหว่างสีเขียวและน้ำตาล เอเดรียนยังหนุ่ม แต่เขาดูแน่ใจในตัวเองเสียเหลือเกิน หล่อเหล่า รูปร่างสมส่วนดูแข็งแรง ต่างจากออสวาลด์ – ดูผอมไปสักหน่อย แม้ว่าเขาจะสูงกว่าอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อย ผมสีดำที่เริ่มมีสีเทาประปรายก่อนวัยอันควร หางตาของเขาตกลงนิดหน่อยตามวัย ดวงตาสีเทาของเขาก็ดูหมองกว่าที่ควรจะเป็น เขาแน่ใจว่าเขามีอำนาจในห้องนี้ สังเกตจากวิธีที่เอเดรียนเกร็งเล็กน้อยราวกับฉงนใจเมื่อเขาผละเท้าออก แต่ออสวาลด์รู้ว่าเขากำลังรับใครเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของเขา – ไบเซ็กฌวล สวิทช์ – สิ่งที่เอเดรียนแน่ใจว่าตัวเองเป็น และออสวาลด์ไม่เคยรับคนทั้งสองประเภทเป็นซับของเขา ไม่ใช่เพราะอคติ แต่เป็นความบังเอิญ

เอเดรียนไม่เชิงผ่อนคลายลงเมื่อออสวาลด์วางเท้าลงบนศีรษะของเขา กระนั้นเขาก็ดูสงบลง ในขณะเดียวกันดวงตาเขาก็มีประกายความต้องการบางอย่าง คล้ายการรอคอย

ออสวาลด์บอกให้เขาหลับเสีย แล้วเอเดรียนถามกลับแทบจะในทันทีว่าออสวาลด์จะไม่อึ๊บหรือฟาดเขาในวันนี้หรอกหรือ มันเกือบจะเป็นการขอ แต่ก็ไม่ใช่ ออสวาลด์จึงตอบว่าไม่ แล้วสั่งให้อีกฝ่ายนอนอีกครั้ง ก่อนจะผละไปนอนที่เตียงของตน – เขาชอบให้ซับนอนบนที่นอนบนพื้นมากกว่าบนเตียงของเขา แล้วเขาอยากให้เอเดรียนรู้ว่าการเป็นซับของเขาจะเป็นอย่างไร

วันต่อมา เบอร์แทรมสหายผู้เป็นที่รักของเขา ติงว่าออสวาลด์คงบ้าไปแล้วที่คิดว่ารับสวิทช์เป็นซับ

ออสวาลด์ตอบรับอยู่ดี เมื่อเอเดรียนเรียกเขาว่านายท่านเป็นครั้งแรกในสัปดาห์ต่อมา

Posted in Writing

[WWW Fic] Before Her End

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Community:

WWWCommu

 

 

Main Character: Lana Hope Bertram

Mentioned Characters: Gavin Yū Windfield, River Mao, Farron Zehr, William Drake, Elaine Cross, Vanniel Arnon, Vladimir Alexander Blackwood III, Waller Zane, Kenneth, Simon Bertram, Fiona Bertram

Disclaimer: ตัวละครนอกเหนือจากลาน่า ไซมอน ฟิโอน่า เคนเนธและคุณนกฮูกเบอร์ตี้ล้วนไม่ใช่ของเราค่ะ

Author’s Notes: 

  • อยากอ้างอิงถึงหลาย ๆ คนที่ได้พบปะโดยไม่หลุดธีมฟิก ออกมาอย่างที่เห็นค่ะ ที่จริงอาจจะมีฟิกเพิ่ม แต่ไม่รู้จะได้เขียนรึเปล่านะคะ *ก้มหน้า*
  • สำหรับคนที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ขอบคุณที่มาเล่นด้วยกัน
  • คอมเมนต์หรือติงอะไรได้ตามสะดวกค่ะ ❤

 

 

 

_

 

 

 

Before Her End

 

 

มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยลาน่าอยู่ปีสาม เอ็ดดี้ นกฮูกแก่ ๆ ที่ได้มาจากพ่อแม่ของเธอแก่ตายในปีนั้น เป็นปีแรกที่เธอได้พบกับมิสเตอร์วินด์ฟิลด์ที่โรงนกฮูก เขาเป็นเด็กสลิธีริน แต่เธอไม่มีความทรงจำของตัวเขาที่เกี่ยวข้องกับสีเขียวเลย อาจเพราะเมื่อเธอพบเขาอีกครั้งหลังเรียนจบ เขากลืนไปกับสีดำ และมีเพียงสีผมของเขาที่โดดเด่นขึ้นมา ส่วนที่เหลือคือสีสันในร้านของเขา

บัดนี้เธอกำลังให้เบอร์ตี้ นกฮูกตัวใหม่พันธุ์ Northern white-faced ที่ซื้อมาจากฟาร์มของมิสเตอรร์วินด์ฟิลด์ส่งจดหมายออกไปเป็นครั้งแรก

 

ไซมอน—

เบอร์ตี้คือนกฮูกใหม่ของพี่

ยังไงก็ตาม ข่าวเมื่อเช้า ผู้ร่วมงาน ไฟนรก

คนนั้นที่เล่นไวโอลิน ให้ดอกไม้อะไรดี

L.

 

ลาน่ากับไซมอนรู้จักกันดี เธอรู้ว่าไซมอนรับเดลี่ฟรอเพ็ตและน่าจะเข้าใจได้โดยง่าย ลาน่าไม่ชอบเขียนจดหมายยาวนัก เธอชอบที่จะพูดอะไรทั้งหมดตัวต่อตัวมากกว่า และแม้ว่าเธอไม่ค่อยเอ่ยชื่อใครโดยตรงตั้งแต่เธอเข้าทำงานที่นี่ ไซมอนก็มักจะเชื่อมโยงได้เองว่าเธอหมายถึงใครได้ไม่ยาก บางครั้งก็ด้วยสัญลักษณ์ที่เธอเอ่ยถึง—‘คุณวิเชียรมาศคนนั้น’—หรือด้วยนามที่เธอเคยเอ่ยถึงเมื่อสมัยตั้งแต่ก่อนมาเป็นมือปราบมาร—‘รุ่นพี่เซียจากฮัฟเฟิลพัฟ’

อย่างไรก็ตาม จดหมายกลับมาเร็วกว่าที่เธอคาด

 

พี่ลาน่า

นกฮูกตาสีส้มเหรอ น่ารักจริง ถ้ามีโอกาสขอเก็บมันไว้กับฉันสักสองสามวันได้ไหม ฉันไม่ทำร้ายมันหรอกน่า (พูดจริงนะ)

จากที่พี่เคยบรรยายตัวเขา ดอกไอริสไหม สำหรับความหวังเป็นหลัก ส่วนที่เหลือความศรัทธา ความกล้าหาญ ความชื่นชม—แฝงนัยให้เขาหายดี สุดแล้วแต่พี่

ไซมอน

 

หลังจากนั้นเธอก็ไปเยี่ยมมิสเตอร์เซียและเลือกสรรดอกไอริสไปให้ตามคำแนะนำ เมื่อพินิจมองดอกไม้ที่นำมาให้อีกที ก็คิดว่ามันเหมาะสมกับมิสเตอร์เซียโดยแท้จริง ทั้งที่จริงเธอเป็นคนที่แทบไม่ได้จดจำอะไรที่ฮอกวอตส์เท่าไร (—เธอไม่มีความจำเป็นต้องมีเพื่อน ออกจากโรงเรียนก็ต้องแยกย้ายกันไปเป็นเรื่องปกติ คงมีเพียงไม่กี่คนที่พอจะสื่อถึงกันจนอาจเรียกว่าเป็นเพื่อนได้ แวนนีลเอย เอเลนเอย นอกนั้นเธอปล่อยให้มันกลืนหายไปกับภาพพื้นหลัง แล้วค่อยระบายสีใหม่เมื่อสบโอกาส อย่างรุ่นพี่รุ่นน้องนี่นับเป็นเพื่อนได้ไหมนั้นเธอไม่เคยคิดสรุปให้เสร็จสิ้น—) แต่เหตุการณ์ที่ได้พบคุณเซียครั้งแรกเมื่อสมัยอยู่ปีสี่ (—อ้อ ใช่ แต่เธอรู้จักเพื่อนของมิสเตอร์เซียเมื่อสมัยอยู่ปีสาม ตอนที่เพิ่งวาดรูปเคนเนธเสร็จไม่นาน – อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนปีสาม—) ที่สวนนั่นมีเสียงไวโอลิน มีถ้อยคำสนทนา – ตัวตนของเธอที่ผ่อนคลายกว่าปกติ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของมิสเตอร์เซียที่ใกล้เคียงกับเสียงกระซิบ

‘จริง ๆ แล้วไวโอลินตัวนี้มีพลังพิเศษด้วยนะ… เขาบอกว่าใครที่ได้ฟังเสียงไวโอลินตัวนี้จะหลงเสน่ห์คนเล่นล่ะ’

‘ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วจะเกิดปัญหาอะไรบ้างหรือคะ’

ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ ‘ล้อเล่นน่ะ จริง ๆ แล้วมันแค่ช่วยให้คนฟังผ่อนคลาย หลงเสน่ห์อะไรนั่นไม่มีหรอก’

‘ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจริงไหม แต่เวลาได้ฟังเสียงมันก็มักจะสงบจิตใจได้ตลอดเลย’

‘ฉันเองก็คิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องจริงนะคะ เพราะรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ว่าตั้งแต่ก่อนที่จะได้ยินเรื่องพลังพิเศษนั่นแล้ว ฉันเชื่อในเรื่องที่ผู้วิเศษเก็บของอะไรไว้ แล้วอาจจะพลังวิเศษแบบโบราณส่งผ่านไปถึงมันได้’

เมื่อคิดถึงตรงนั้น เธอก็คำนึงได้ว่า นั่นคือหนึ่งในสิ่งที่เธอปรารถนาจะสร้างมาตลอด สิ่งประดิษฐ์วิเศษ แค่เวลานั้นดูมีน้อยเกินไป กระทั่งสำหรับผู้วิเศษที่สามารถใช้ศิลาอาถรรพ์ได้ เธอพบว่าเธออยากเป็นอมตะ แต่ไม่ต้องการที่จะเป็นผี—รู้ตัวอีกที ก็คงจะเตรียมใจเรื่องการเสี่ยงชีวิตเรียบร้อยตั้งแต่ตอนที่เปิดประตูไปเยี่ยมมิสเตอร์เซียแล้ว

เธอพบมิสเตอร์เดรคที่นั่นด้วย เธอไม่ได้จดจำมากนักว่าเธอพูดอะไรบ้าง แต่เธอแน่ใจว่าเธอบอกความหมายคร่าว ๆ ของดอกไอริสกับมิสเตอร์เซียผู้ยังจมอยู่ในความหลับใหล โดยให้มิสเตอร์เดรคร่วมฟังไปด้วย… เธอไม่แน่ใจว่าเธอได้พูดรึเปล่าว่าอันที่จริงแล้ว ไวโอลินนั่นก็ทำให้หลงเสน่ห์คนเล่นด้วยจริง ๆ – อย่างน้อยมันก็เกิดขึ้นกับเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ให้ตัวเองคิดอะไรเรื่องนี้ต่อ เธอได้ยินตัวเองพูดกับมิสเตอร์เดรคว่า เธอเคยได้ยินคำกล่าวของวลาดิเมียร์ เลนิน ผู้นำนักปฏิวัติคนหนึ่งของมักเกิ้ลว่า หากเขาฟังเพลง Appassionata ของเบโธเฟนไปเรื่อย ๆ เขาคงไม่อาจปฏิวัติให้เสร็จสิ้นได้

มันดูเป็นจังหวะที่ควรพูดถึง

ในส่วนลึกของเธอ เธออยากเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติไหม ก็อาจจะใช่ คตินิยมของจอมมารที่คนเคยกล่าวถึงเมื่อกาลก่อนดูจะไม่ตรงกับคตินิยมของเธอเอง แต่เธอเข้าใจความคิดของผู้คนที่อยากเปลี่ยนโลก ทางเดียวที่จะเปลี่ยนอะไรได้มีเพียงแค่ต้องผ่านเวทมนตร์เท่านั้น เธอเชื่อเช่นนั้น กระนั้นแล้ว จากผู้คนทั้งหมด คนที่บาดเจ็บในวันนั้นคือมิสเตอร์เซีย คนที่อันที่จริงแล้ว—อาจเป็นคนเดียวในสำนักงานใหญ่ที่มีเวทมนตร์—อนึ่งดนตรี—ที่อาจทำให้เธอหยุดความกบฏในตัวเองได้ มันช่างเป็นแรงปลุกที่ทำให้อยากกบฏน้อยลงอย่างประหลาด ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าหากเผชิญหน้ากับผู้เสพความตาย เธอต้องการอะไร

สำหรับลาน่า เรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่งของการปราบมารคือ การเตรียมใจเสี่ยงชีวิต ทว่าทุกครั้งที่ทำการเตรียมใจนั้น ก็เสมอเหมือนเพิ่งเคยเตรียมใจเป็นครั้งแรก

_

หลังจากเยี่ยมมิสเตอร์เซียเสร็จเรียบร้อย เธอก็ส่งจดหมายอีกฉบับไปให้น้องชาย แจ้งว่าเธอมีเหตุจะต้องไปเสี่ยงอยู่สักหน่อยในคืนพรุ่งนี้ โดยที่ไม่แน่ใจว่าจะลากยาวเพียงใด จึงมีความต้องการให้เขาช่วยดูแลเบอร์ตี้สักสองสามวัน เธอรู้มาตลอดว่าไซมอนชอบนกฮูก… จดหมายนกฮูกคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโลกพ่อมดแม่มดไม่กี่อย่างที่สควิบเยี่ยงเขาจะสามารถหยั่งรู้ได้โดยแท้จริง (—ก็ตอนปีสามอีกเช่นกันใช่ไหมที่เธอปล่อยให้น้องชายแห้งกรังในฐานะสควิบอยู่ที่บ้าน—) ส่วนกับฟิโอน่า เธอใช้เวลาคุยผ่านเตาผิงด้วยอยู่พักใหญ่

หลังจากนั้น เธอก็สละเวลาไปดูดาวและคุยกับเคนเนธ ช่วงไม่กี่เดือนให้หลังมานี่ เธอดูดาวบ่อย เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอก็ได้พินิจมองดาวพร้อมมิสเตอร์แบล็ควู้ด ส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลจากไซมอนกับความสนใจของเขาในเรื่องโลกคู่ขนาน สมัยเรียนเธอไม่เคยมีความสนใจในเรื่องพยากรณ์ศาสตร์ แต่เมื่อไม่นานมานี่—ในจังหวะที่กำลังจิบกาแฟแก้วหนึ่งและชวนคุณวิเชียรมาศคุย—เธอคิดขึ้นมาว่า เรื่องที่ผู้วิเศษมีพลังที่จะรู้อนาคตนั้นน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะมันเป็นพลังที่เชื่อมโยงกับกาลเวลา และกาลเวลาอาจเป็นเพียงไม่กี่อย่างในหมู่มวลเอกภพที่เธอเชื่อว่าเป็นนิรันดร์ เธอได้คุยเรื่องพยากรณ์ศาสตร์กับมิสเตอร์เซนอีกคนหนึ่งด้วย – บางอย่างเกี่ยวกับเขาทำให้เธอนึกถึงยูนิคอร์น—นิสัยเปรียบคนกับสัตว์นั้นเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไรกัน เธอจำไม่ได้แล้ว

เธอหวนนึกถึงคำพูดของคุณวิเชียรมาศเมื่อไม่กี่วันก่อน—‘ตาน้ำประเภทไหนที่คุณสนใจหรือครับ ลาน่า’

‘เลือดและร่างกายก็ส่วนหนึ่งนะคะ มักเกิ้ลบอร์นบางส่วนก็มาจากบรรพบุรุษที่เป็นสควิบ สิ่งที่วนกลับมา รวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ ปรุงยา แปลงร่าง’

‘เหมือนตาน้ำ และเหมือนสายน้ำหรือเปล่าครับ สุดท้ายก็ลงมาบรรจบกัน… เขาว่ากันว่าผู้ที่ชอบในศาสตร์แปลงร่างมักมีร่างที่โปรดปรานเป็นพิเศษ’

ตาน้ำที่เธอพูดถึงในตอนนั้น บางทีเธออาจลืมรวมสิ่งหนึ่งเข้าไป – กาลเวลา เวทมนตร์กับกาลเวลาเป็นของคู่กัน เทียบมักเกิ้ลกับผู้วิเศษแล้ว ผู้วิเศษมิใช่หรือที่มีอายุขัยยืนยาวกว่า และสิ่งที่คงอยู่ได้ด้วยเวทมนตร์น่ะ—

เธอหันไปกระดาษและสีสันบนกระดาษที่ถูกรักษาไว้ด้วยเวทมนตร์ข้างกาย ปีกแมลงปอขยับไหวอย่างสงสัยกับสายตาของเธอ

“ทวนหน่อยนะ” เธอเอ่ย

“ถ้าระหว่างลาน่าต่อสู้ห้ามขัด ห้ามส่งเสียง ห้ามออกมาให้ศัตรูเห็นต่อให้ลาน่าตายไปแล้ว” เคนเนธว่า พลางผงกหัวหงึก

“อืม”

“ลาน่าจะตายเหรอ”

“ยังไงพวกเราทุกคนก็ต้องตายอยู่แล้ว” ในจังหวะนั้นเธอสามารถเลือกต่อยอดบทสนทนาได้ เธอสามารถเลือกพูดว่าเว้นเสียแต่เราจะมีศิลาอาถรรพ์หรือหินชุบวิญญาณหรืออะไรอื่น ทว่าเธอเลือกที่จะไม่พูด

คืนนั้นเธอเปลี่ยนร่างเป็นกระรอก พาเคนเนธขึ้นไปอยู่ด้วยกันในแมกไม้ หลับใหลอย่างเต็มอิ่มจนถึงเช้า

_

เช้าวันที่ 7 มีนาคม

นกฮูกวัยสามขวบที่มีดวงตาสีส้มสดใสบินตามหาเจ้านายของมันอยู่ทั้งวัน ที่ขามีม้วนจดหมายจากไซมอนผูกติดอยู่ จ่าหน้าซองถึงลาน่า เมื่อมันหาไม่ผู้เป็นนายพบ จึงบินกลับไปหาไซมอนอีกครั้ง

 

 

 

The End.

Posted in Writing

[Until Dawn] โดดเดี่ยว [One-sided Chris/Josh]

Fandom: Until Dawn (Video Game)

Pairing: One-sided Chris/Josh

Rating: PG

Alternative Link: AO3

Notes:

  • ใครสนใจ fandom นี้หาแคสต์เกมดูได้นะ เช่นอันนี้ /ขายตรงมาก
  • SPOILERS

_

.

.

.

โดดเดี่ยว

.

.

คริสไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงพูดเรื่องที่จอชกับเขาพบกันครั้งแรกขึ้นมา คงเพราะเรื่องของแฮนนาห์กับเบธวนอยู่ในบรรยากาศตอนที่เขานั่งอยู่กับแซม และแฮนนาห์มักจะชอบผีเสื้อเสมอมา… ใช่แล้ว ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะเขาเอง ครั้งแรกที่จอชแนะนำให้เขารู้จักกับน้องสาวทั้งสองของเขา คริสเองก็เล่าให้พวกเธอฟังว่าพวกเขาพบกันยังไง – Butterfly effect – เรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ทิศทางนั้น สภาพนั้น  เสมือนรากฐานของชื่อ Butterfly effect ที่มาจากคำนิยมเก่าที่ว่าการประพือปีกของผีเสื้อในเวลาและสถานที่เฉพาะสามารถเป็นต้นเหตุของเฮอร์ริเคน ซึ่งแม้ว่านักฟิสิกส์ในยุคปัจจุบันไม่ถือว่ามันเป็นความจริง แต่ Butterfly effect อันเป็นย่อยของทฤษฎีความอลวน (Chaos theory) ก็ยังเป็นสิ่งที่คริสยึดเป็นหนึ่งในคติการใช้ชีวิต สิ่งที่เขาพูด สิ่งที่เขาเลือกก็คือหนึ่งในปัจจัยแวดล้อมที่นำไปสู่ผลลัพธ์

.

แม้คริสจะเล่าเรื่องการพบกันของเขากับจอชจนฟังดูเหมือนพวกเขาเป็นคู่ที่สวรรค์ลิขิตอย่างที่แซมล้อขำ ๆ  เขาก็ไม่นึกว่า Butterfly effect นี้จะนำไปสู่เฮอร์ริเคนจริง ๆ

.

เฮอร์ริเคนที่เรียกว่าจอช

.

_

.

คริสรู้ว่าจอชเป็นไบพอ ๆ กับที่จอชรู้ว่าคริสชอบแอชลีย์ สิ่งที่คริสไม่รู้ก็คือจุดที่ว่าจอชชอบใคร คริสมักจะเข้าใจว่าจอชชอบแซม จอชและแซมดูเชื่อมโยงกันทางความคิดได้ดี และเป็นขั้วตรงข้ามที่ลงตัว เธอชอบความท้าทาย รักการผจญภัย จอชมีความใจเย็นและเอาใจใส่เพียงพอที่จะไม่ปละปล่อยให้นิสัยของเธอกลายเป็นความมุทะลุ

.

“เอาจริง ๆ นะ ทำไมนายไม่จีบเธอสักที” คริสเอ่ย ระหว่างที่พวกเขากำลังดื่มเหล้ากันสองคน ในปีที่แฮนนาห์ชวนเพื่อนสนิททุกคนมาค้างที่ภูเขาครอบครัววอชิงตันด้วยกัน

.

“เธอ?”

.

“แซมไง”

.

จอชเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง โคลงศีรษะเล็กน้อย “แล้ว… ทำไมนายไม่จีบแอชลีย์สักทีล่ะ”

.

คริสส่ายหน้า ขำนิด ๆ “พยายามอยู่ แต่ก็ยากอยู่สักหน่อยในเมื่อนายมาชวนฉันดื่มเป็นเพื่อนจนไม่ได้ไปใช้เวลากับเธอสักทีเนี่ย”

.

จอชหัวเราะเบา ๆ “เห็นเธอกับคนอื่น ๆ หัวเราะกิ๊กกั๊กเรื่องไหนสักเรื่อง คงอยากสนุกกับอะไรสักอย่างที่ไม่เกี่ยวกับพวกเราล่ะมั้ง”

.

“ก็นะ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก อาจจะเป็นเรื่องข่าวลือซุบซิบอะไรสักอย่างล่ะมั้ง” คริสว่า ซดขวดเหล้าในมือต่อ มองเพื่อนตรงหน้าที่ยังคงไม่มีท่าทีเมามายใด ๆ “คอแข็งกว่าเดิมเยอะนะ นายน่ะ”

.

ความเห็นดังกล่าวได้รับเพียงการไหวไหล่ของจอชเป็นการตอบสนอง เขาดื่มบ่อยขึ้นทุกที แต่เขาไม่อยากพูดถึงมันนัก อย่างน้อย… ขอเพียงคืนนี้คืนเดียว จอชคิดเช่นนั้น บางทีคืนนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะปละปล่อยให้ตัวเองร้องขอเวลาจากคริสมากมายขนาดนี้… จอชคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว เรื่อง ‘คืนสุดท้าย’… เขาเพียงแต่ไม่มีความกล้าเพียงพอที่จะทำให้มันเป็นจริงเสียที

.

เช้าวันต่อมา พวกเขาก็ไม่ได้เห็นแฮนนาห์กับเบธอีกเลย ปัญหาคือจอชจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสิ่งสุดท้ายที่เขาพูดกับน้องสาวทั้งสองของเขาคืออะไร เพราะในวันที่พวกเธอหายไป เขานึกถึงเพียงแต่เรื่องของตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้เขาโทษตัวเองยิ่งกว่าใคร

.

_

.

แม้ว่าใครจะเป็นกำลังใจให้จอชได้ดีแค่ไหน แม้ว่ามันไม่ควรจะเป็นความผิดของเขา แต่จอชก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่ารากเหง้าของความเหงา ความกลัวที่เขามีอยู่นั่น ก็เพราะเขาคิดเรื่องของตัวเองมากเกินไป แม้ว่าคริสเพื่อนรัก—และคนที่เขาแอบชอบนี้—จะยืนยันว่าเขาเป็นทำดีแล้วก็ตาม คริสเคยบอกว่าจอชเป็นคนใจดี… ซึ่งมันมีแต่ทำให้ความรู้สึกผิดของจอชฝังรากลึกขึ้น เขาไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นหรอก ถ้าต้องฆ่าหมูสักตัว หรือสองตัว หรือมากกว่านั้น เพียงเพื่อจะสรรค์สร้างอะไรสักอย่างเพื่อบรรเทาความเศร้าของเขาลง จอชก็จะทำ

.

ทำไมพี่ถึงไม่ช่วยพวกเราล่ะ พี่จอช พวกเธอถามในความฝันของจอช – เหล่าน้องสาวที่อยู่เคียงข้างจอชเสมอมา น้องสาวที่เข้าใจเขา แต่กระนั้นจอชก็ยังรู้สึกถึงจุดต่างระหว่างเขากับพวกเธอ แน่ล่ะ พวกเธอเป็นฝาแฝดกัน เกิดห่างกันเพียงไม่กี่นาที มีสายใยบางส่วนที่จอชเข้าไปผสานร่วมกันไม่ได้ ซึ่งบางครั้งนั่นก็ทำให้จอชรู้สึก… โดดเดี่ยว บางทีจุดต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจจะเป็นระดับความกล้าที่ต่างกัน พวกเธอทั้งคู่มักจะกล้ามากกว่าเขาเสมอ กระทั่งแฮนนาห์เองก็ยังมุ่งมั่นกับความพยายามที่จะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนต่อหน้าไมค์

.

ในขณะที่จอชหลบซ่อน ปิดซ่อน กลบฝังความรู้สึกที่เขาไม่กล้าเผชิญหน้า เขาได้ตัดสินใจแล้ว—คิดไว้นานแล้วว่าเขาจะไม่มีวันบอกความรู้สึกของตนกับคริส เขาจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครเลยไปจนวันตาย ไม่แม้กระทั่งกับดร.ฮิลล์ จิตแพทย์ที่เขามักคุ้นและวางใจ และจอชเชื่อด้วยว่าตัวเองจะไม่เสียใจภายหลัง ในท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเพียงความรู้สึกที่ไม่ได้รับการสารภาพ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยแบ่งปันให้

.

รัก

.

_

.

จอชเชื่อมั่นว่าคริสจะต้องเลือกแอชลีย์ คริสชอบแอชลีย์มานาน แม้จะไม่นานเท่ากับที่เป็นเพื่อนกับจอช แต่หากให้เลือกว่าใครควรจะมีชีวิตอยู่ มันก็ดูจะสมเหตุสมผลที่คริสจะเลือกแอชลีย์ เพราะถ้าแอชลีย์รอด… บางทีคริสก็อาจจะได้อยู่กับคนที่อาจเป็นคู่ชีวิตในอนาคตของเขาสักที

.

แล้วอีกอย่าง หนึ่งปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้เป็นเพื่อนที่ดีนัก ทุกคนก็น่าจะจากกันไปในที่สุด ไม่ใช่หรือ

.

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงแปลกใจที่คริสเลือกเขา แล้วเขาก็ปล่อยให้คริสต้องเห็นภาพสยดสยอง ภาพที่เขานึกภาพว่าคงเป็นการทำร้ายที่ดีเมื่อคริสเลือกแอชลีย์ แต่ก็ไม่ เขาไม่ควรจะทำร้ายคนที่เลือกเพื่อนเลว ๆ อย่างเขาให้มีชีวิตอยู่เลย

 .

แต่มันก็สายเกินกว่าจะหยุดทุกอย่างที่เขาเตรียมไว้แล้ว

.

_

.

คริสเป็นมนุษย์ที่ประหลาด

.

จอชพบศพกระรอกเล็ก ๆ อยู่ที่ที่ซ้อมยิงปืนของพ่อ จอชรู้ทันทีว่าเป็นคริส มีแต่คริสเท่านั้นที่จะยิงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ตายเพียงเพื่อจะทดสอบความสามารถของตน แต่ทั้งอย่างนั้น เขากลับเลือกที่จะทิ้งชีวิตตัวเองแทนสาวที่ชอบ นายมองกระรอกนั่นเหมือนมองตัวนายเองรึเปล่า

.

หนึ่งชีวิตที่นายจะทิ้งไปง่าย ๆ เพื่อคนอื่น

 .

คริสมักจะเป็น… จอมปกป้องเสมอมา

.

เขาคิดเช่นนั้นยามที่เงยหน้ามองเพื่อนที่เสี่ยงตายกลับมาช่วยเขา เพื่อนที่พาเขากลับเข้าไปในบ้านเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันอย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น แม้กระทั่งหลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่จอชได้ทำลงไปเพียงเพื่อจะทำให้ทุก ๆ คนเจ็บปวด คริสพาเขากลับไป และขอโทษที่ทำให้เขาผิดหวังในฐานะเพื่อน ขอโทษฉันงั้นหรือ ทั้งที่…

 .

และแล้ว เมื่อรุ่นสางมาถึงในที่สุด และบรรยากาศตึงเครียดคลายลง จอชก็หลุดร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ  กุมศีรษะของตนแล้วโยกตัวไปมา คนอื่น ๆ มองเขาด้วยท่าทีคล้ายไม่รู้จะทำอย่างไรดี และปล่อยให้คริสนั่งโอบไหล่เขาไปอย่างนั้น

.

ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย

 .

จอชคงเผลอพูดเช่นนั้นออกมาแน่ ๆ  เพราะเขาได้ยินคริสตอบว่า

.

“พยายามอยู่ พวก มาพยายามด้วยกันอีกทีเถอะ… นะ”

.

อือ

 .

ฉะ-ฉันเหงา

 .

“ฉันรู้”

.

.

.

The End

Posted in Writing

[RP] Side story 4: บันทึกเก่า

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ

Notes:

  • สิ่งที่เชอร์ลีย์เคยเขียนเกี่ยวกับกัปตันคนเก่า บางคนอาจจะคุ้นผลงานพวกนี้จาก page ของจขฟช.  จริง ๆ แล้วที่คัดมาก็คือสิ่งที่เขียนตอนได้แรงบันดาลใจมาจากแถว ๆ เชอร์ลีย์นั่นเอง
  • เป็นการรวบรวม drabble สั้น ๆ  อาจดูไม่ปะติดปะต่อกันเป็นพิเศษ T – T”

Word count: 1,045

.

.

.

ข้าหลงรักบุรุษผมแดงยาว เขาเป็นเสมือนลูกคิดสำหรับจิตคณิต ส่วนข้าเป็นเพียงคนอวดดีที่อยากเป็นภาพในล็อคเก็ตหากเขาเป็นล็อคเก็ต และอยากเป็นลูกบิดประตูหากเขาเป็นธรณีประตู ข้าอยากเป็นผู้ที่พร้อมที่จะสละดวงตาและแขนขาให้ทันทีที่เขาเอ่ยปากเพียงคำเดียว

เขาจะรับรู้ขอบเขตการปกป้องของข้า

ความลับเล็ก ๆ ของเราคือการไม่มีความลับต่อกัน

_

ข้าได้ยินเสียงหัวใจของท่าน ที่ตรงนี้

ท่านผู้เป็นดวงใจของข้า ท่านผู้เป็นพู่กันของสี เป็นสีของผ้าใบ เป็นผ้าใบของศิลปิน เป็นศิลปินของภาพวาด เป็นภาพวาดของความสุข เป็นความสุขของศิลปะ และเป็นชีวิตของข้า

_

Dear Sir,

I offer you the two greatest human emotions: love and fear. For I have loved you for long, and I have great fear of losing you. This fear, however, urges me run faster to you, Sir. Why reject Fear? As before the face of Fear, I can fly to you without looking back. It gives me the power and control.

Forever Yours,

S.

_

ถึง: เจ้ามักจะกอดข้าแน่นเกินไป จุมพิตข้าเบาเกินไป บอกรักข้าบ่อยเกินไป

ข้อความ: ข้าชอบตาตุ่มที่ข้อเท้าของท่าน และรอยบุ๋มใต้ลำคอที่อยู่ระหว่างไหปลาร้าของท่าน

จาก: ข้ามองตาท่านครั้งแรก เมื่อห้าปีที่แล้ว

_

ท่านผู้เป็นที่รัก

พวกเราจูบกันน้อยครั้ง และหลายครั้งในน้อยครั้งเหล่านั้น พวกเราก็จูบกันอย่างอ่อนเบา ก่อนที่ข้าจะจับมือท่านขึ้นมาจูบข้อนิ้ว ปลายจมูกของพวกเรามักจะสัมผัสกัน แล้วอยู่แบบนั้นนิ่งนานในที่ที่ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน

ครั้นพวกเราสามารถอยู่ด้วยกันได้ในที่ที่ไม่จำเป็นต้องหลีกหนีสายตาใคร ท่านก็ถูกคลื่นพายุพรากไปเสียอย่างนั้น

_

ท่านคามิลเลียสที่รัก

ดิเอลโลเรียช่างแห้งแล้งเสียเหลือเกิน ข้านึกสงสัยว่าท่านจะมีวันมาที่ทะเลทรายนี่กับข้าไหม ด้วยท่านดูมีพลังที่สุดเมื่ออยู่กับน้ำและความชุ่มชื้น – ในยามที่ท่านอยู่กับสายฝนและคลื่นมหาสมุทร ท่ามกลางไอน้ำในอ่างน้ำร้อน หรือละอองทะเลจากกราบเรือยามเช้าที่พวกเราอยู่ด้วยกัน ท่านมักจะดูเหมือนบุตรแห่งห้วงสมุทร หากได้เห็นท่านท่ามกลางผืนทรายนี่คงแปลกตาน่าดู

น่าเสียดายที่บัดนี้ข้าไม่อาจอยู่เคียงข้างเพื่อบอกราตรีสวัสดิ์ท่านทุกคืน และจุมพิตอรุณสวัสดิ์กับท่านทุกเช้าได้

ข้าอยากตามท่านไป

ด้วยรัก

เชอร์ลีย์

_

นายท่านที่รัก—

ข้าคิดถึงลมหายใจของท่านที่ปลายจมูกของข้า หากธรรมชาติผู้เป็นมารดาแห่งมวลมนุษย์มิได้พรากท่านไปจากข้า เราอาจได้ใช้เวลาในฤดูเหมันต์นี้ด้วยกัน หากมีใครทำนายว่าข้าจะตายในฤดูนี้ ข้าคงเชื่อเขา มีความเป็นไปได้ว่าความตรอมตรมอาจฆ่าข้าได้… กระนั้นข้าก็อาการดีพอที่จะมาเขียนสิ่งนี้แล้ว

ท่านจำได้ไหมเมื่อครั้งที่เรานอนเคียงข้างกัน แล้วท่านบอกว่าภรรยาของท่านตั้งครรภ์ ในคืนนั้นข้าเกือบกลับไปหาฝิ่น ข้านึกถึงฝิ่นก่อนกัญชา ด้วยฤทธิ์ของฝิ่นปลอบโยนความเศร้าได้ดีกว่ากัญชา กัญชาเหมาะกับความโกรธ แต่แล้วท่านก็จับข้าได้คาหนังคาเขา แล้วไม่อนุญาตให้ข้าได้สร้างสรรค์อารมณ์ของตัวเองด้วยสารเย้ายวนเหล่านั้น ทว่าในที่สุดแล้ว ภริยาของท่านกลับจากไปพร้อมลูกเมื่อถึงกาลคลอด ข้าจำสีหน้าท่านยามมาบอกข่าวร้ายนั้นกับข้าได้ ดวงหน้าท่านดูซีดขาวอย่างเห็นได้ชัดแม้ในแสงสลัว

กระนั้นแม้ถึงกาลที่ท่านจะมิใช่ของนางในนาม ท่านก็ยังมิใช่ของข้า มิมีบาทหลวงคนใดให้ข้าสาบานความรักของตนที่มีต่อท่านได้ และข้ามิแน่ใจว่าจะมีเทพองค์ใดเข้าข้างข้า ท่านผู้เป็นที่รัก โปรดนึกภาพตัวท่านและข้าในอาภรณ์สีขาว และแหวนบนนิ้วนางที่เราสวมมอบให้กัน หากข้าสามารถมอบสิ่งเหล่านั้น—มิใช่ในฐานะบุรุษคนหนึ่ง หากเป็นในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง—โดยไม่ต้องทำลายฐานะและครอบครัวของท่านลงก็คงจะดีใช่น้อย บางทีหากเราอยู่ที่อื่นที่ไกลออกไปในมวลดาว พวกเราอาจรักกันโดยไม่ต้องหลบซ่อนเช่นนี้ได้

ข้าบอกว่าข้าจะรักท่านตราบสิ้นลมหายใจ แล้วเหตุใดลมหายใจท่านจึงสิ้นสุดไปก่อนเสียเล่า ดวงใจของข้า

_

Master,

Do you know that feeling which resembles sandpaper? I couldn’t quite explain. It’s rough and dry. If you drag your hand too quickly over it, it’ll burn your skin.

—Where was I going with this? Never mind. I’m speaking gibberish, but there is really no one else I’d rather talk to. I love you most.

_

เจ้ามีความฝันมายาวนาน มีความสุขมายาวนาน เชื่อในความสุขมายาวนาน ในที่สุดเจ้าก็เลือกที่จะทิ้งทั้งหมดในผืนทะเลทรายแห่งดิเอลโลเรีย แล้วเจ้าก็ลืมไปสิ้นว่า—นั่นสิ เจ้าลืมอะไรไปนะ เจ้าตอบตัวเองมิได้เสียแล้ว เจ้ารู้เพียงว่า การมองความสุขเป็นเป้าหมายนั้นคือความผิดพลาด ด้วยรู้ดีว่าการที่ครั้งหนึ่งเคยมี แล้วเสียไป แล้วหวังจะได้มันอีกนั้น… ทำให้เจ้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ใครว่าความตรอมใจฆ่าใครไม่ได้ มันเกือบฆ่าเจ้า และถึงเจ้าจะไม่สนหากตัวเองจะตายไป เจ้าก็ยังไม่อยากตายหรอก

เจ้าคิดขึ้นมาได้ว่า ทะเลอาจมีอะไรมาเสนอให้เจ้าได้อีก

_

M’dear,

The rain won’t last, they said.

Keep silence and stay strong, they said.

What is strength, and what lasts, anyway?

Love,

Yours.

.

.

.

The End.