Posted in Writing

[PBI] เปิดใจ

Entry นึ้เป็นส่วนหนึ่งของ PBI Community

Pairing: Knightley/Quatair

Rating: PG

_

 

 

 

เปิดใจ

 

ก่อนหน้านี้ ไนท์ลีย์ก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับควอแตร์มากเท่าไร บางครั้งเขาก็คิดว่าเขาไม่ใช่คนที่คุยกับควอแตร์บ่อยที่สุดด้วย อีกทั้งที่ผ่านมาก็เหมือนจะไม่ค่อยได้คุยอะไรที่ทำให้ค้นหากันและกันได้มากสักเท่าไร ทั้งแบบนั้นแล้ว เขาก็ยังอยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเธอ และอยากให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา บางครั้งก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปได้ ทั้งที่ปกติเขาก็เป็นคนตั้งเงื่อนไขมากมายทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะควอแตร์เป็นคนที่เขายังหาเงื่อนไขที่เธอมีให้เขาไม่ค่อยพบสักที—เขาแน่ใจว่าเธอมี แวร์วูฟทุกคนมีเรื่องขอบเขตมาเกี่ยวข้องเสมอ แต่ยิ่งเธอให้อะไรกับเขาโดยไม่มีเงื่อนไขกับเขามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะพยายามให้อะไรเธอแบบไม่มีเงื่อนไขมากขึ้น ซึ่งลึกลงไปแล้ว เขาก็หวั่นเกรงกับความรู้สึกไร้ขอบเขตอยู่บ้าง

 

มีบางอย่างเกี่ยวกับเธอที่ทำให้เขารู้สึกสะดุด—จะเรียกว่าแบบนั้นก็คงได้—เมื่อช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิของปี 2018 เป็นการสนทนากันจริงจังเป็นครั้งแรก ที่แย่น่าจะเป็นส่วนที่เขาทำเธอร้องไห้ และไม่ใช่เพราะอะไรอื่น เพราะเขาไปถือวิสาสะพูดกับเธอเองว่า เธอเป็นคนที่ให้อะไรโดยไม่มีเงื่อนไขเท่าไร และนั่นอาจทำให้เธอถูกใช้ประโยชน์โดยง่าย เหตุผลที่เขาพูดก็เป็นเพียงเพราะว่าเธอใจดีกับเขา แต่เขากลับตอบแทนความใจดีของเธอแบบนั้น

 

แม้จะพูดด้วยความเป็นห่วง แต่เป็นแบบนี้แล้ว คนที่ควรจะอยู่ใกล้เธอน้อยที่สุด อาจจะเป็นคนแบบเขาก็ได้

 

เขารู้มาตั้งแต่วันนั้นว่าเธอไม่ชอบฝน เธอใจดีกับทุกคน—และความจริงก็คงจะรักทุกคน แต่กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร แต่เขาก็คิดว่าสำหรับควอแตร์แล้ว มันคงเป็นเรื่องสำคัญ

 

_

 

พบกันครั้งถัดมา เขาก็พาแมรี่มาที่สวนสาธารณะเพื่อจะได้พบปะควอแตร์ด้วย ในวันนั้นควอแตร์ใส่เสื้อผ้าที่ดูสุภาพเรียบร้อยกว่าปกติ พอเห็นความใส่ใจที่มีต่อแมรี่นั้นก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ทั้งที่เธอไม่จำเป็นต้องกังวลก็ได้แท้ ๆ  แมรี่เองก็เป็นเพียงเด็กที่เขาเองก็ไม่ได้สอนเป็นพิเศษว่าการแต่งตัวแบบไหนเป็นแนวผู้หญิงหรือผู้ชาย และเอาเข้าจริงเขาเองก็ไม่ได้คิดเยอะเรื่องนี้

 

หลังจากคุยสัพเพเหระไปสักครู่ เขาก็หลุดแหย่ออกไปก่อนจะห้ามปากตัวเองได้ทันว่า “หรือว่าจริง ๆ แล้วใส่เสื้อแบบนี้มาให้ผมมากกว่าแมรี่กันนะครับ” แทบจะกัดลิ้นตัวเองเหมือนกัน หากเขาเป็นควอแตร์ก็คงมองว่าตัวเขาอวดดีสิ้นดี ในตอนนั้นไนท์ลีย์เองก็ไม่แน่ใจว่าต้องการคำตอบแบบไหน เขาก็ไม่ใช่วัยรุ่นที่น่าจะมาหยอกเล่นเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย เขาเพียงแต่คิดว่าเขามีทางเลือกที่จะพูดหรือไม่พูด

 

ลึก ๆ แล้วเขาคงจะอยากพูดมากกว่า

 

_

 

“เอาเข้าจริงก็ควรกินให้ตรงเวลาเป็นอย่างน้อย เพราะยังไงสุดท้ายเรื่องบางเรื่องละเลยไปมันก็กลับมาในฐานะบิลสุขภาพอยู่ดี” เขาพูดกับควอแตร์ด้วยเสียงเรียบ ๆ กว่าปกติ อาจเพราะเป็นบทสนทนาทำนองที่มักจะต้องมีกับคนรอบกายบ่อยครั้ง จึงเข้มงวดขึ้นมา

 

ควอแตร์ดูจ๋อยราวกับหมาในโอวาส แล้วพยักหน้าหงึก ๆ “ค่ารักษามัน… แรงจริง ๆ นั่นแหละค่ะ” เธอหัวเราะแห้ง พลางละมือจากช้อนขนมของงานกาล่าตรงหน้า แล้วบีบมือตัวเองอย่างประหม่า “หรือโรค—ไม่ ๆ  ฉันหมายถึงเรื่องที่คุณป่วย ก็ต้องจ่ายค่ารักษาเยอะเหมือนกัน?”

 

ไนท์ลีย์เห็นท่าทีแบบนั้นแล้วก็ดันใจอ่อนเอาง่าย ๆ  ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดว่าจะดุแล้วเชียว แม้ว่าเขาเองคงไม่มีสิทธิ์ก็ตาม ถึงอย่างนั้นฟังดูจากถ้อยคำ เขาก็คิดว่าควอแตร์เองก็เข้าใจ… เขารู้ตัวว่าตัวเองมีทรัพย์จึงได้มีชีวิตแบบที่มีอยู่ตรงนี้ รู้ตัวเสมอว่าเป็นอภิสิทธิ์ เขากะพริบตาปริบขณะทำความเข้าใจคำถาม ก่อนจะกล่าวว่า “ผมมีไม่สบายบ้างเป็นบางครั้งเพราะความอ่อนแอในลักษณะคนผิวเผือก แต่เพราะมีพลังของมนุษย์หมาป่าเลยยังนับว่า ป่วยไม่บ่อยเท่าที่คนผิวเผือกทั่วไปเป็นครับ แถมเกิดมาเป็นอัลฟ่าด้วย แต่ว่า… มันเหมือน ‘เผลอเป็นไม่ได้ ก็ป่วยอีกแล้ว’ หรือ ‘ทีคนอื่นในครอบครัวไม่เห็นป่วยจุกจิกขนาดนี้เลย’ ก็เลยพยายามรักษาตัวเอามาก ๆ หน่อย ว่ากันตามตรงก็จากความเซ็งเบื่อ หงุดหงิดรำคาญไม่ใช่น้อยครับ… ทั้งที่ถ้ามีแรงกระตุ้นแง่บวกก็คงจะดีกว่า”

 

ควอแตร์ผ่อนคลายลง ก่อนจะกล่าวว่า “เอ๋ งั้นถ้าเปลี่ยนเป็นแบบ ‘ถ้าไม่ป่วยหรือหายป่วยเร็วจะได้ทำ… ที่อยากทำ ได้กิน… ที่ชอบ’ ไม่ก็ ‘ไม่ป่วยเพื่อที่จะ…’ หาเงื่อนไขภายนอกมาเป็นแรงกระตุ้น หรือตั้งเงื่อนไขภายในเอา อะไรแบบนี้ดูไหมคะ… ที่จริง กับอาการป่วยแบบนั้น ฉันคิดว่าคุณ ‘พิเศษ’ กว่าคนอื่นอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องทำอะไรที่มันพิเศษ ๆ กว่าคนอื่นอยู่แล้ว” เธอกำหมัดเป็นเชิงให้กำลังใจ

 

เขาใช้มือหนึ่งจิ้มขนมไป อีกมือเท้าคางมอง ยิ้มอ่อนใจระคนเอ็นดู “คอนเซปต์ที่ว่า ‘พิเศษ’ เนี่ยไม่ได้คิดมานานแล้วครับ แต่ในฐานะเจ้าของโรคจะให้คิดแบบนั้นมันก็ยากเหมือนกัน… แต่ถ้าคุณคิดแบบนั้นก็ดีใจนะครับ”

 

ความจริงแล้ว การที่ใครสักคนคิดแบบนั้น ก็ชวนเยียวยาอยู่เหมือนกัน ไม่สิ… เพราะเป็นคนที่สนใจคิดแบบนั้น จึงรู้สึกราวกับได้รับการเยียวยาต่างหาก

 

_

 

“ชอบแนวนี้สินะครับ” ไนท์ลีย์เอ่ยกับควอแตร์ขณะดูภาพสีน้ำมันที่ไหลผสมปะปนกันเป็นแนวนามธรรม “ดูแล้วผ่อนคลายดี อาจเพราะผมตีความมันไม่ออกนัก ก็เลยเหมือนไม่ต้องคิด ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามบรรยากาศมากกว่า”

 

“จริงของคุณ แต่อาจเป็นเพราะบางอย่างไม่จำเป็นต้องตีความก็ได้ค่ะ… มันเป็น ในแบบที่เป็นอยู่แล้ว โดยภาพรวมจะปรากฏแก่สายตาคุณ เหมือนกับที่ทุก ๆ คนเห็นอยู่แล้ว”

 

แท้จริงแล้วนั่นเป็นแนวคิดในแบบที่ไนท์ลีย์หวาดกลัวเป็นพิเศษ อาจจะเพราะรอบตัวของเขาไม่มีคนแบบเธอ จึงยิ่งกดดันมากขึ้น

 

แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกสบายใจ

 

บางทีความขัดแย้งในความรู้สึก อาจยิ่งทำให้ความรู้สึกบางอย่างแจ่มชัดยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นได้

 

_

 

บางครั้ง เขาคิดว่าควอแตร์รู้เรื่องของเขามากกว่าที่เขารู้เรื่องของควอแตร์ และบางครั้งเขาก็สงสัยว่าเหตุใดเธอจึงดีกับเขานัก ทั้งที่เขามีอะไรให้เธอน้อยมาก เขาคือทราย ในขณะที่เธอคือดิน

 

ตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วที่เขาเลิกสวมแหวนแต่งงาน เขาบอกตัวเองว่าจะพยายามไม่ร้องไห้เรื่องของภรรยาเก่าอีก แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่เด็ดขาดแบบนั้น หลายปีที่เขาร้องไห้เรื่องเดิมเพียงคนเดียว ถึงอย่างนั้นเขาก็เคยถูกแมรี่โกรธเพราะเธอนึกว่าเขาไม่เคยเสียน้ำตาให้กับคุณแม่ของเธอเลย ความจริงก็ตั้งแต่สมัยเด็กแล้วที่เขาชินกับการร้องไห้เพียงคนเดียว ในยามที่เศร้าและยามที่ทำดี คือสองเวลาที่คนเราควรจะพยายามดำเนินไปเงียบ ๆ  บางทีเขาจะได้รับการสอนมาแบบนั้น เขาจึงพยายามทำเช่นนั้น บางครั้งเขาก็ล้มเหลว น้องชายเคยพบตัวเขาที่ร้องไห้อยู่ น้องบอกว่าเขาควรจะหัดร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเสียบ้าง แล้วจะดีขึ้น—จนปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไรมาทำให้เขาเชื่อมุมมองนั้นสักที

 

เขาจำรายละเอียดของช่วงเวลาที่แม่ของเขาเสียชีวิตไม่ได้นัก แต่เขาจำความรู้สึกได้ มันเป็นเสมือนคลื่นสาดซัดให้จมน้ำหลังจากที่กำลังเล่นสนุกอยู่ ส่วนเรื่องของคุณพ่อ มันก็จบด้วยความตาย และสุดท้ายเรื่องของแอนน์-มารี ภรรยาเก่าของเขา ก็จบลงด้วยความตายอีกเหมือนกัน น้องชายของเขาเองก็เคยพูดบ่อยครั้งเรื่องที่ว่าน้องอาจจะอยากอยู่บนโลกนี้ไม่นาน บางครั้งไนท์ลีย์ก็นึกภาพว่าอีกสิบปีข้างหน้า—ด้วยสถานการณ์ โอกาส หรือทางเลือก เขาอาจจะเหลือเพียงตัวคนเดียว ลึกลงไปเขาก็อยากจะจากโลกนี้ไปก่อนที่คนอื่นจะจากเขาไป แต่—

 

สิ่งที่ช่วยให้ยึดเหนี่ยว อาจจะเป็นแมรี่ แต่แม้กระทั่งแมรี่เอง ก็ยังมีปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือความควบคุม สถานการณ์ที่เขาอาจปกป้องเธอไม่ได้

 

และเพียงเพราะเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรับมือกับแผลเป็นที่ยังหลงเหลือในจิตใจได้ดี เขาก็เอามันไปลงกับควอแตร์ ในงานกาล่าวันเดียวกันนั้น เขาเอ่ยกับเธอว่า “เอาเข้าจริงแล้ว ผมไม่มีหลักประกันอะไรด้วยซ้ำว่าจะเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้นได้  ‘คุณ’ ต้องรับผิดชอบความสุขของตัวเอง”

 

เฉียบพลันนั้นเองที่ดูเหมือนเขาจะทำให้เธอเครียดขึ้นมา “ฉัน… ไม่ได้อยากให้ใครทำให้ฉันมีความสุข ฉันต่างหากที่อยากจะสร้างความสุขให้คนอื่น… ให้คุณ”

 

แล้วเขาก็ทำควอแตร์ร้องไห้อีกแล้ว

 

_

 

เขาเคยชวนเธอไปดูพลุด้วยกัน

 

“เป็นครั้งแรกเลยนะคะ ที่ได้มานั่งดูแบบนี้ ฉันหมายถึง ปกติเดินดูคนเดียว ไม่ก็นอนอยู่ที่ห้องน่ะ ขอบคุณที่มาด้วยกันนะคะ แล้วก็…” เสียงของเธอในประโยคสุดท้ายพลันโดนผู้คนรอบข้างร้องเฮต้อนรับดอกไม้ไฟดังกลบไปหมด ควอแตร์สะดุ้งตกใจ แล้วหลุดหัวเราะแหะ ๆ  เธอหันกลับไปมองพลุ แล้วมองมันเงียบ ๆ

 

ไนท์ลีย์เงยมองภาพพลุที่ดูสวยงามกว่าที่เขาเคยจำได้ เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายมาดูพลุแบบนี้เมื่อไร แต่ชั่วนาทีนั้นมันดูจะไม่สำคัญ ในจังหวะที่มีพลุระเบิดออกมากมายบนฟ้า เขาก็หันมามองเธอ

 

หัวใจของเขาเหมือนจะบีบรัด และระเบิดออก

 

 

 

The End.