Posted in Writing

#WZD Déjà vu

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของpasted image 0.png

 

Pairing: Vasilios Argyris/Sylem Dagile

Rating: PG

 

 

 

_

 

 

Déjà vu

 

ความรู้สึกที่เหมือนเคยเจอคู่ชีวิตก่อน ‘พบกันครั้งแรก’ อาจจะมีจริงก็ได้

 

ราวกับว่า ได้เจอไซเลมเมื่อสมัยเด็ก ๆ  แต่อย่างมากที่สุดก็คงเป็นเพียงครั้งเดียวในวันที่แสนสั้น เขาไม่น่าจะทำอะไรเป็นแก่นสารในวันนั้น ตอนนั้นพ่อก็คงสอนให้เขา ‘ล่าหากิน’ ได้แล้ว แต่ตามประสาเด็กเขาก็คงจะเล่นจนลืมหิว

 

เขาผงกหัวขึ้นจากหมอน มองปีกเล็ก ๆ ที่คอของคนผมทอง

 

ไม่กล้าถาม

 

ได้แต่ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดคอ เขาคงเหม่อคิดจนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วเอาความทรงจำเก่า ๆ มาปะปนกันแน่ ๆ  แต่ถ้าลองคิดเล่น ๆ สมมุติไซเลมเจอตัวเขาตอนเด็กจริง ไซเลมก็อาจจะอายุประมาณยี่สิบกลาง ๆ? ยิ่งคิดดูก็ยิ่งเป็นไปได้ แต่เขาคงไม่ถามอยู่ดี… เพราะถึงจะเป็นแบบนั้น ก็คงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้พวกเขาได้รู้จักกันใกล้ชิดในตอนนั้น

 

สมัยเด็กเขามีโอกาสได้คุยกับผู้ใหญ่บ่อย ๆ  อาจจะบ่อยกว่าคุยกับเด็กด้วยกันเอง การเอาตัวรอดตามแบบเผ่าพันธุ์ตัวเองนั้น… มาคิด ๆ ดูก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ได้เหงาด้วยซ้ำ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอะไร ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีอะไรให้จดจำเป็นพิเศษขนาดนั้นเหมือนกัน โลกมีอะไรให้ทำมากมาย แต่ส่วนใหญ่องค์ประกอบในชีวิตเขาก็คือทำในสิ่งที่คนอื่นอยากให้ทำ ทำให้คนอื่นมีความพึงใจก็พอ ถึงอย่างนั้นด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็พยายามใช้ชีวิต ต่อสู้เพื่อใช้ชีวิต แม้จะทำเพียงเพื่อความปรารถนาของผู้อื่น บางทีเขาอาจจะหวังว่าลึก ๆ แล้วเขาเองก็มีความสุขไปกับชีวิตแบบนั้นเช่นกัน

 

มันอาจจะเปลี่ยนตอนที่เขาได้ลองสู้เมื่อเริ่มชอบไซเลม ความจริงก็สู้ด้วยหัวใจที่เหมือนอกหักไปเกินครึ่งแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่ได้คิดว่าไซเลมจะเลือกเขา หรือเขาจะมีความหมายอะไรในระยะยาวนัก ต่อให้ไม่ได้เป็นคนรักเขาก็อยากจะพยายามเพื่อให้ได้มีคนคนนี้อยู่ในชีวิต

 

ที่ไซเลมเคยบอกเขาประมาณว่า เขาชอบพูดเหมือนตัวเองไม่ได้มีอะไรพิเศษ พอย้อนคิดดูตอนนี้ก็ได้แต่ยิ้มออกมา สำหรับเขาแล้วออกจะเป็นเรื่องปกติที่จะคิดแบบนั้น ในเมื่อพอนึกย้อนดูก็ไม่มีเรื่องเจ๋ง ๆ ในอดีตมาเล่าให้ฟังเท่าไร เพราะเขาจำอะไรไม่ค่อยได้ก็ส่วนหนึ่ง ไม่ได้มีวิถีชีวิตที่น่าอวดอะไร และในส่วนที่พิเศษ ก็มีแต่จะตอกย้ำมากกว่าว่าเขามันแกะดำ

 

ตอนสงครามเริ่มต้นใหม่ ๆ  เขาผ่อนคลายไม่ได้เลย เพราะถึงแม้จะมีพลัง แต่ก็เหมือนจะไม่มากพอที่จะช่วยไซเลมได้

 

แต่ตอนนี้…

 

วาซิลิออสเลื่อนมือไปเล่นกับปอยผมทอง เขาเองรู้สึกได้ถึง ‘พร’ ที่ได้รับมาจากคุณมังกร อีกทั้งยังเวทมนตร์ที่ไซเลมเชื่อใจให้เขาเป็นคนคอยควบคุมไซเลมให้อยู่ในพื้นที่จำกัดได้อีีก แต่เพราะ… มีแต่ได้รับของขวัญมากมาย จึงอยากใช้พลังนี้ปกป้องไซเลมได้ ทั้งที่กดดันแต่ก็มีความหวัง

 

แล้วตอนนี้ก็เริ่มมีความทรงจำพิเศษให้พูดถึงกันแล้วด้วย เขาเอง… เมื่อก่อนเคยคิดว่าถึงตายไปก็คงไม่เสียดายสักเท่าไร แต่ตอนนี้… ยังมีเรื่องอยากทำที่ยังไม่ได้ทำนี่นา

 

วาซิลิออสเพียงแต่ขยับเข้าไปเอาจมูกซุกเส้นผมอีกฝ่าย “พี่เลม… รู้ไหม…” เขาเอ่ยเสียงเบา ราวกับไม่ได้หวังให้ไซเลมตื่นเป็นพิเศษ “บางทีก็อย่างกับว่า เคยเจอพี่มาก่อน”

 

 

 

The End.

Posted in Writing

[PBI] เปิดใจ

Entry นึ้เป็นส่วนหนึ่งของ PBI Community

Pairing: Knightley/Quatair

Rating: PG

_

 

 

 

เปิดใจ

 

ก่อนหน้านี้ ไนท์ลีย์ก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับควอแตร์มากเท่าไร บางครั้งเขาก็คิดว่าเขาไม่ใช่คนที่คุยกับควอแตร์บ่อยที่สุดด้วย อีกทั้งที่ผ่านมาก็เหมือนจะไม่ค่อยได้คุยอะไรที่ทำให้ค้นหากันและกันได้มากสักเท่าไร ทั้งแบบนั้นแล้ว เขาก็ยังอยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเธอ และอยากให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา บางครั้งก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปได้ ทั้งที่ปกติเขาก็เป็นคนตั้งเงื่อนไขมากมายทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะควอแตร์เป็นคนที่เขายังหาเงื่อนไขที่เธอมีให้เขาไม่ค่อยพบสักที—เขาแน่ใจว่าเธอมี แวร์วูฟทุกคนมีเรื่องขอบเขตมาเกี่ยวข้องเสมอ แต่ยิ่งเธอให้อะไรกับเขาโดยไม่มีเงื่อนไขกับเขามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะพยายามให้อะไรเธอแบบไม่มีเงื่อนไขมากขึ้น ซึ่งลึกลงไปแล้ว เขาก็หวั่นเกรงกับความรู้สึกไร้ขอบเขตอยู่บ้าง

 

มีบางอย่างเกี่ยวกับเธอที่ทำให้เขารู้สึกสะดุด—จะเรียกว่าแบบนั้นก็คงได้—เมื่อช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิของปี 2018 เป็นการสนทนากันจริงจังเป็นครั้งแรก ที่แย่น่าจะเป็นส่วนที่เขาทำเธอร้องไห้ และไม่ใช่เพราะอะไรอื่น เพราะเขาไปถือวิสาสะพูดกับเธอเองว่า เธอเป็นคนที่ให้อะไรโดยไม่มีเงื่อนไขเท่าไร และนั่นอาจทำให้เธอถูกใช้ประโยชน์โดยง่าย เหตุผลที่เขาพูดก็เป็นเพียงเพราะว่าเธอใจดีกับเขา แต่เขากลับตอบแทนความใจดีของเธอแบบนั้น

 

แม้จะพูดด้วยความเป็นห่วง แต่เป็นแบบนี้แล้ว คนที่ควรจะอยู่ใกล้เธอน้อยที่สุด อาจจะเป็นคนแบบเขาก็ได้

 

เขารู้มาตั้งแต่วันนั้นว่าเธอไม่ชอบฝน เธอใจดีกับทุกคน—และความจริงก็คงจะรักทุกคน แต่กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร แต่เขาก็คิดว่าสำหรับควอแตร์แล้ว มันคงเป็นเรื่องสำคัญ

 

_

 

พบกันครั้งถัดมา เขาก็พาแมรี่มาที่สวนสาธารณะเพื่อจะได้พบปะควอแตร์ด้วย ในวันนั้นควอแตร์ใส่เสื้อผ้าที่ดูสุภาพเรียบร้อยกว่าปกติ พอเห็นความใส่ใจที่มีต่อแมรี่นั้นก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ทั้งที่เธอไม่จำเป็นต้องกังวลก็ได้แท้ ๆ  แมรี่เองก็เป็นเพียงเด็กที่เขาเองก็ไม่ได้สอนเป็นพิเศษว่าการแต่งตัวแบบไหนเป็นแนวผู้หญิงหรือผู้ชาย และเอาเข้าจริงเขาเองก็ไม่ได้คิดเยอะเรื่องนี้

 

หลังจากคุยสัพเพเหระไปสักครู่ เขาก็หลุดแหย่ออกไปก่อนจะห้ามปากตัวเองได้ทันว่า “หรือว่าจริง ๆ แล้วใส่เสื้อแบบนี้มาให้ผมมากกว่าแมรี่กันนะครับ” แทบจะกัดลิ้นตัวเองเหมือนกัน หากเขาเป็นควอแตร์ก็คงมองว่าตัวเขาอวดดีสิ้นดี ในตอนนั้นไนท์ลีย์เองก็ไม่แน่ใจว่าต้องการคำตอบแบบไหน เขาก็ไม่ใช่วัยรุ่นที่น่าจะมาหยอกเล่นเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย เขาเพียงแต่คิดว่าเขามีทางเลือกที่จะพูดหรือไม่พูด

 

ลึก ๆ แล้วเขาคงจะอยากพูดมากกว่า

 

_

 

“เอาเข้าจริงก็ควรกินให้ตรงเวลาเป็นอย่างน้อย เพราะยังไงสุดท้ายเรื่องบางเรื่องละเลยไปมันก็กลับมาในฐานะบิลสุขภาพอยู่ดี” เขาพูดกับควอแตร์ด้วยเสียงเรียบ ๆ กว่าปกติ อาจเพราะเป็นบทสนทนาทำนองที่มักจะต้องมีกับคนรอบกายบ่อยครั้ง จึงเข้มงวดขึ้นมา

 

ควอแตร์ดูจ๋อยราวกับหมาในโอวาส แล้วพยักหน้าหงึก ๆ “ค่ารักษามัน… แรงจริง ๆ นั่นแหละค่ะ” เธอหัวเราะแห้ง พลางละมือจากช้อนขนมของงานกาล่าตรงหน้า แล้วบีบมือตัวเองอย่างประหม่า “หรือโรค—ไม่ ๆ  ฉันหมายถึงเรื่องที่คุณป่วย ก็ต้องจ่ายค่ารักษาเยอะเหมือนกัน?”

 

ไนท์ลีย์เห็นท่าทีแบบนั้นแล้วก็ดันใจอ่อนเอาง่าย ๆ  ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดว่าจะดุแล้วเชียว แม้ว่าเขาเองคงไม่มีสิทธิ์ก็ตาม ถึงอย่างนั้นฟังดูจากถ้อยคำ เขาก็คิดว่าควอแตร์เองก็เข้าใจ… เขารู้ตัวว่าตัวเองมีทรัพย์จึงได้มีชีวิตแบบที่มีอยู่ตรงนี้ รู้ตัวเสมอว่าเป็นอภิสิทธิ์ เขากะพริบตาปริบขณะทำความเข้าใจคำถาม ก่อนจะกล่าวว่า “ผมมีไม่สบายบ้างเป็นบางครั้งเพราะความอ่อนแอในลักษณะคนผิวเผือก แต่เพราะมีพลังของมนุษย์หมาป่าเลยยังนับว่า ป่วยไม่บ่อยเท่าที่คนผิวเผือกทั่วไปเป็นครับ แถมเกิดมาเป็นอัลฟ่าด้วย แต่ว่า… มันเหมือน ‘เผลอเป็นไม่ได้ ก็ป่วยอีกแล้ว’ หรือ ‘ทีคนอื่นในครอบครัวไม่เห็นป่วยจุกจิกขนาดนี้เลย’ ก็เลยพยายามรักษาตัวเอามาก ๆ หน่อย ว่ากันตามตรงก็จากความเซ็งเบื่อ หงุดหงิดรำคาญไม่ใช่น้อยครับ… ทั้งที่ถ้ามีแรงกระตุ้นแง่บวกก็คงจะดีกว่า”

 

ควอแตร์ผ่อนคลายลง ก่อนจะกล่าวว่า “เอ๋ งั้นถ้าเปลี่ยนเป็นแบบ ‘ถ้าไม่ป่วยหรือหายป่วยเร็วจะได้ทำ… ที่อยากทำ ได้กิน… ที่ชอบ’ ไม่ก็ ‘ไม่ป่วยเพื่อที่จะ…’ หาเงื่อนไขภายนอกมาเป็นแรงกระตุ้น หรือตั้งเงื่อนไขภายในเอา อะไรแบบนี้ดูไหมคะ… ที่จริง กับอาการป่วยแบบนั้น ฉันคิดว่าคุณ ‘พิเศษ’ กว่าคนอื่นอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องทำอะไรที่มันพิเศษ ๆ กว่าคนอื่นอยู่แล้ว” เธอกำหมัดเป็นเชิงให้กำลังใจ

 

เขาใช้มือหนึ่งจิ้มขนมไป อีกมือเท้าคางมอง ยิ้มอ่อนใจระคนเอ็นดู “คอนเซปต์ที่ว่า ‘พิเศษ’ เนี่ยไม่ได้คิดมานานแล้วครับ แต่ในฐานะเจ้าของโรคจะให้คิดแบบนั้นมันก็ยากเหมือนกัน… แต่ถ้าคุณคิดแบบนั้นก็ดีใจนะครับ”

 

ความจริงแล้ว การที่ใครสักคนคิดแบบนั้น ก็ชวนเยียวยาอยู่เหมือนกัน ไม่สิ… เพราะเป็นคนที่สนใจคิดแบบนั้น จึงรู้สึกราวกับได้รับการเยียวยาต่างหาก

 

_

 

“ชอบแนวนี้สินะครับ” ไนท์ลีย์เอ่ยกับควอแตร์ขณะดูภาพสีน้ำมันที่ไหลผสมปะปนกันเป็นแนวนามธรรม “ดูแล้วผ่อนคลายดี อาจเพราะผมตีความมันไม่ออกนัก ก็เลยเหมือนไม่ต้องคิด ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามบรรยากาศมากกว่า”

 

“จริงของคุณ แต่อาจเป็นเพราะบางอย่างไม่จำเป็นต้องตีความก็ได้ค่ะ… มันเป็น ในแบบที่เป็นอยู่แล้ว โดยภาพรวมจะปรากฏแก่สายตาคุณ เหมือนกับที่ทุก ๆ คนเห็นอยู่แล้ว”

 

แท้จริงแล้วนั่นเป็นแนวคิดในแบบที่ไนท์ลีย์หวาดกลัวเป็นพิเศษ อาจจะเพราะรอบตัวของเขาไม่มีคนแบบเธอ จึงยิ่งกดดันมากขึ้น

 

แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกสบายใจ

 

บางทีความขัดแย้งในความรู้สึก อาจยิ่งทำให้ความรู้สึกบางอย่างแจ่มชัดยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นได้

 

_

 

บางครั้ง เขาคิดว่าควอแตร์รู้เรื่องของเขามากกว่าที่เขารู้เรื่องของควอแตร์ และบางครั้งเขาก็สงสัยว่าเหตุใดเธอจึงดีกับเขานัก ทั้งที่เขามีอะไรให้เธอน้อยมาก เขาคือทราย ในขณะที่เธอคือดิน

 

ตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วที่เขาเลิกสวมแหวนแต่งงาน เขาบอกตัวเองว่าจะพยายามไม่ร้องไห้เรื่องของภรรยาเก่าอีก แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่เด็ดขาดแบบนั้น หลายปีที่เขาร้องไห้เรื่องเดิมเพียงคนเดียว ถึงอย่างนั้นเขาก็เคยถูกแมรี่โกรธเพราะเธอนึกว่าเขาไม่เคยเสียน้ำตาให้กับคุณแม่ของเธอเลย ความจริงก็ตั้งแต่สมัยเด็กแล้วที่เขาชินกับการร้องไห้เพียงคนเดียว ในยามที่เศร้าและยามที่ทำดี คือสองเวลาที่คนเราควรจะพยายามดำเนินไปเงียบ ๆ  บางทีเขาจะได้รับการสอนมาแบบนั้น เขาจึงพยายามทำเช่นนั้น บางครั้งเขาก็ล้มเหลว น้องชายเคยพบตัวเขาที่ร้องไห้อยู่ น้องบอกว่าเขาควรจะหัดร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเสียบ้าง แล้วจะดีขึ้น—จนปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไรมาทำให้เขาเชื่อมุมมองนั้นสักที

 

เขาจำรายละเอียดของช่วงเวลาที่แม่ของเขาเสียชีวิตไม่ได้นัก แต่เขาจำความรู้สึกได้ มันเป็นเสมือนคลื่นสาดซัดให้จมน้ำหลังจากที่กำลังเล่นสนุกอยู่ ส่วนเรื่องของคุณพ่อ มันก็จบด้วยความตาย และสุดท้ายเรื่องของแอนน์-มารี ภรรยาเก่าของเขา ก็จบลงด้วยความตายอีกเหมือนกัน น้องชายของเขาเองก็เคยพูดบ่อยครั้งเรื่องที่ว่าน้องอาจจะอยากอยู่บนโลกนี้ไม่นาน บางครั้งไนท์ลีย์ก็นึกภาพว่าอีกสิบปีข้างหน้า—ด้วยสถานการณ์ โอกาส หรือทางเลือก เขาอาจจะเหลือเพียงตัวคนเดียว ลึกลงไปเขาก็อยากจะจากโลกนี้ไปก่อนที่คนอื่นจะจากเขาไป แต่—

 

สิ่งที่ช่วยให้ยึดเหนี่ยว อาจจะเป็นแมรี่ แต่แม้กระทั่งแมรี่เอง ก็ยังมีปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือความควบคุม สถานการณ์ที่เขาอาจปกป้องเธอไม่ได้

 

และเพียงเพราะเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรับมือกับแผลเป็นที่ยังหลงเหลือในจิตใจได้ดี เขาก็เอามันไปลงกับควอแตร์ ในงานกาล่าวันเดียวกันนั้น เขาเอ่ยกับเธอว่า “เอาเข้าจริงแล้ว ผมไม่มีหลักประกันอะไรด้วยซ้ำว่าจะเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้นได้  ‘คุณ’ ต้องรับผิดชอบความสุขของตัวเอง”

 

เฉียบพลันนั้นเองที่ดูเหมือนเขาจะทำให้เธอเครียดขึ้นมา “ฉัน… ไม่ได้อยากให้ใครทำให้ฉันมีความสุข ฉันต่างหากที่อยากจะสร้างความสุขให้คนอื่น… ให้คุณ”

 

แล้วเขาก็ทำควอแตร์ร้องไห้อีกแล้ว

 

_

 

เขาเคยชวนเธอไปดูพลุด้วยกัน

 

“เป็นครั้งแรกเลยนะคะ ที่ได้มานั่งดูแบบนี้ ฉันหมายถึง ปกติเดินดูคนเดียว ไม่ก็นอนอยู่ที่ห้องน่ะ ขอบคุณที่มาด้วยกันนะคะ แล้วก็…” เสียงของเธอในประโยคสุดท้ายพลันโดนผู้คนรอบข้างร้องเฮต้อนรับดอกไม้ไฟดังกลบไปหมด ควอแตร์สะดุ้งตกใจ แล้วหลุดหัวเราะแหะ ๆ  เธอหันกลับไปมองพลุ แล้วมองมันเงียบ ๆ

 

ไนท์ลีย์เงยมองภาพพลุที่ดูสวยงามกว่าที่เขาเคยจำได้ เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายมาดูพลุแบบนี้เมื่อไร แต่ชั่วนาทีนั้นมันดูจะไม่สำคัญ ในจังหวะที่มีพลุระเบิดออกมากมายบนฟ้า เขาก็หันมามองเธอ

 

หัวใจของเขาเหมือนจะบีบรัด และระเบิดออก

 

 

 

The End.

 

Posted in Writing

[WZD] ความไม่คุ้นชิน

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของpasted image 0.png

 

Pairing: Vasilios Argyris/Sylem Dagile

Rating: PG

 

 

_

 

 

 

ความไม่คุ้นชิน

 

หากนึกย้อนไปตอนนี้ เสี้ยวหนึ่งของวาซิลิออสคิดว่ากับไซเลม ดาไจล์นั้นเป็นความรู้สึกที่ชวนสบายและเป็นมิตรตั้งแต่แรกเห็น และส่วนที่เหลือเป็นเพียงเหตุผลที่เขาสร้างขึ้น โยงใยจนออกมาเป็นรูปร่างในที่สุดว่าทำไมเขาถึงรักคนคนนี้ แต่หากว่ากันตามจริงแล้ว มันก็ซับซ้อนกว่านั้น เวลาที่เขาสังเกตใครในทีแรก สัญชาตญาณที่จะทำเป็นอย่างแรกคือสังเกตภาพที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป—เหมือนกับทุก ๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิต

เขาเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ ไม่ได้คิดจะลงวิชาฝึกบินด้วยไม้กวาดในปีแรกหรือปีที่สอง เขามองว่ามันเป็นอะไรที่เริ่มทำในปีที่สามก็ได้ หลังจากนั้นถึงจะเริ่มใช้มันจริงจังในช่วงที่ทำงานหลังเรียนจบ

ชีวิตนักเรียนช่วงปีหนึ่งและสองของเขาที่ Wizardry Academy… สิ่งที่จำเป็นในการมีชีวิตอยู่นั้น ช่างมีน้อยนิดเหลือเกิน

เหตุผลที่ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ก็น้อยยิ่งกว่า

_

ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เริ่มออกมาเดินเล่นในโรงเรียนยามเช้ามืดของช่วงปีสาม ก็อาจไม่มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ดาไจล์จนกระทั่งเรียนจบไปเลยก็ได้ เขาคิดแบบนั้น

ในเวลาเงียบเหงาที่คาดว่าจะไม่ได้พบใครนั้น อาจารย์ก็ส่งเสียงจากหลังเสาบอกทักอรุณสวัสดิ์ ด้วยเสียงยานคางราวกับวิญญาณหลอน

“อรุณสวัสดิ์ครับ อาจารย์ดาไจล์… ตื่นเช้าจัง”

“นี่ไม่ใช่ดาไจล์ นี่คือเสา… เสาไม่มีวันหลับ”

“ง… งั้นเหรอครับ” วาซิลิออสเอ่ยอย่างเสียมิได้ เสียงอาจารย์ชัด ๆ แต่… เสาก็เสา “แล้วทำไมคุณเสาไม่หลับไม่นอนล่ะครับ หรือว่าแค่ตื่นเช้า”

“เสาเดินมาผิดบ้าน ทางมันมืด ๆ  เสาตาลาย… ที่นี่บ้านอะไร”

เสียงแบบนี้ เมาเหรอ… อาจารย์นี่น้า “บ้านแกะตัวผู้ครับ” วาซิลิออสกระแอม “เอ่อ… ตาลายสินะ คุณเสาเอาน้ำไหม” หลังจากนั้นเขาก็แว่วเสียงพึมพำว่า ‘เดินผิดอีกแล้ว’ ก่อนที่ ‘คุณเสา’ ที่ว่าจะขอน้ำและบอกห้ามไม่ให้บอกใครว่าเจอเสาที่นี่ วาซิลิออสจึงตอบไปว่า “ได้ ไม่บอกใครหรอกคร้าบ ผมไม่ได้สนิทกับใครปานนั้นสักหน่อย” เขายืดเส้นยืดสาย “คุณเสารอตรงนี้ห้ามขยับไปไหนนะครับ เดี๋ยวไม่ได้ดื่มน้ำนะ” เขากล่าวราวกับสอนเด็ก ๆ ก่อนจะผละไปเอาน้ำมาแก้วหนึ่ง เมื่อกลับมาก็ใช้หางของตนวางแก้วนั้นลงบนพื้น หางของเขาเลื่อนแก้วให้อีกฝ่ายแบบไม่ต้องเห็นหน้ากัน

“งั้นว่าง ๆ มานั่งคุยกับเสาไหม เสาว่างมาก ๆ”

“ได้สิครับ ผมก็ว่างมาก ๆ เหมือนกัน” เขาเอนกายพิงเสาแล้วไถร่นกายนั่งลง แล้วถอนหายใจ “เปิดเทอมคนยังย้ายกันมาไม่หมดเลย แต่ก็ชอบอยู่ที่นี่มากกว่าบ้านล่ะ… แล้วคุณเสาว่างแบบนี้ไม่เหงาหรือครับ”

“งี้แหละตอนใกล้เปิดเทอม เดี๋ยวคนก็เยอะ  ‘คุณหาง’ ก็จะไม่เหงาแล้ว เสาเหงามาก แต่นักเรียนเริ่มจะมากันแล้ว คงจะไม่ว่างในเร็ว ๆ นี้… ซึ่งดีแล้ว”

เขาถดหางกลับมาให้พ้นสายตาเมื่อโดนเรียกด้วยชื่อใหม่ จะเรียกว่ากระดากก็คงใช่ ถ้อยประโยคเหล่านั้นชวนให้วาซิลิออสนึกสงสัยว่าเขาดูเหงารึเปล่า สำหรับเขาแล้วการที่ ‘ดูเหมือนเหงา’ กับ ‘รู้สึกเหงา’ นั้นไม่เหมือนกัน แต่เอาเข้าจริงจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญสักเท่าไร ที่น่าสนใจมากกว่าคือ ส่วนหนึ่งเขามองว่าการที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะพูดออกมาอย่างง่ายดายว่าเหงามากนั้นเป็นเรื่องแปลกดี ตามปกติแล้วยามที่คนเราโตขึ้น ก็ยิ่งจะอยู่ในสถานการณ์ที่พูดความรู้สึกตัวเองยากขึ้น และหากจะพูดออกมา ก็จำต้องหาเหตุผลมาชี้แจงว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนั้น มิเช่นนั้นแล้วความรู้สึกทั้งหมดนั่นจะไม่เป็นที่ยอมรับ

เขาคิดว่า โลกที่เขาอยู่เป็นแบบนั้น เขาคิดว่า คุณเสาเป็นคนที่แปลกในโลกของเขา กระนั้น ก็เป็นความแปลกที่ชวนให้รู้สึกเบาตัวลงอย่างประหลาด

_

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เขาก็ออกมาดูดาวกลางดึก และก็เป็นอีกครั้งที่ได้ยินเสียงทักจากเงามืด

“ไม่หลับไม่นอน”

“คุณเสา… หรือครับ”

“คุณหางไม่ยอมนอนอีกแล้วนะครับน่ะ”

เอ๊ะ เสียงวันนี้ไม่ได้เมานี่ วาซิลิออสคิด ในวันนี้อาจารย์ดาไจล์ไม่ได้ยืนอยู่หลังเสา แต่ก็มืดจนยากจะมองเห็นคุณเสาได้ชัด แต่กลายเป็นหวั่นเกรงระคนประหม่าหากอีกฝ่ายจะเห็นเขาเข้าเต็ม ๆ เสียอย่างนั้น พวกเขาคุยกันเรื่อยเปื่อย พูดถึงดวงดาวบ้าง บางอย่างก็ไม่ใช่อะไรที่เขาไม่เคยคุยกับคนอื่นมาก่อน แต่เนื้อหากลับแตกต่างออกไปจากทุกอย่างที่เคยพบมาเสียหมด

มีครั้งหนึ่งที่คุณเสากล่าวกับเขาว่า “การที่เราไม่สบายใจอะไรแล้วบอกออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือหรือไว้ใจ มันเรียกว่าการเปิดใจน่ะ”

วาซิลิออสได้แต่เงียบไป ฟังไปก็อดที่จะเหงื่อตกนิด ๆ ไม่ได้ “การเปิดใจมันน่ากลัวสำหรับคุณหางน่ะ นี่ยอมบอกเพราะว่าเป็นถึงคุณเสาหรอกนะคร้าบ” เขาว่าพลางยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกว่านี่เป็นความลับ “คุณเสาสมัยเป็นนักเรียนเนี่ย… เป็นคนยังไงกันนะครับ หากผมจะขออนุญาตถามล่ะก็”

“ถามได้ ความสงสัยไม่มีความผิด”

การคุยในช่วงเวลาแบบนั้น จะเรียกว่าเริ่มกลายเป็นความเคยชินก็ไม่ใช่ อันที่จริงแล้วทุกอย่างถือว่าตรงข้ามกับความเคยชิน เขาไม่เคยรู้ว่าคำพูดและคำนิยามบางอย่างสามารถได้รับการบรรยายออกมาอย่างง่ายดายในแบบที่คุณเสาทำได้ด้วย

ช่วงเวลาเหล่านั้นอาจเป็นระเบิดเวลา อีกไม่ช้านานอาจารย์ดาไจล์ก็จะรู้ว่าเขาไม่มีความเข้าใจในเรื่องแบบนี้เลย หรือบางทีเขาอาจจะโดนจับได้แล้วก็ได้

เขาไม่รู้ว่าปกติคนเราเปิดใจยังไง

เขาไม่รู้ว่าจะสงสัยอะไรยังไงโดยที่จะไม่ทำพลาด

_

หากถามว่าเริ่มตกหลุมรักเมื่อไร จนถึงบัดนี้วาซิลิออสก็อาจจะยังชี้แจงไม่ได้ (แต่เขาจำได้ว่ารู้ตัวเมื่อไร—วันที่ดูดาวตกด้วยกันนั้น) แต่หากในเรื่องว่าเริ่ม ‘ชอบ’ เมื่อไร เขาพอจะจับจุดได้อยู่ แม้ว่าตอนนั้นจะไม่ได้รู้ตัวเป็นพิเศษ

“อยาก—อยากให้อาจารย์พาบินไปดูดาว” วาซิลิออสทำสัญลักษณ์มือบินขึ้นประกอบ “แลกกับให้สั่งอะไรผมหนึ่งวันประมาณนี้ก็ได้ครับ” จะเรียกว่าต้องใช้ความกล้าในการขอไหม ก็คงใช่ แม้ในตอนนั้นเขาจะไม่ได้คิดอะไรมากความ แต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นการรบกวน อาจถึงขั้นละลาบละล้วง ซึ่งเข้าใจได้หากอาจารย์ดาไจล์จะปฏิเสธ ความคิดของเขาในตอนนั้นก็เพียงแค่อยากจะดูดาวจากบนไม้กวาดอย่างที่อาจารย์ดาไจล์เคยบรรยายให้ฟังสักครั้ง แต่โดยปกติ ร้อยทั้งร้อย ทุกคนย่อมต้องการสิ่งตอบแทน เขาไม่อยากติดค้างอะไร จึงพยายามเสนอให้อีกฝ่ายขออะไรตอบแทน เขาไม่แน่ใจว่าเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเลือกอะไร วาซิลิออสคงเพียงนึกภาพว่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่เขาทำเพื่อเป็นผลประโยชน์ต่ออาจารย์ แล้วก็หายกันไป แค่นั้น

ในตอนแรกอาจารย์ดาไจล์บอกว่านึกไม่ออกนัก และพอวาซิลิออสพยายามย้ำเรื่องที่ว่าต้องมีค่าตอบแทน มิเช่นนั้นแล้วเขาจะรู้สึกค้างคา อาจารย์ก็เสนอมาในที่สุดว่า ให้วาซิลิออสไปทำอาหารให้และนั่งกินด้วยกันก่อนไปเรียนในยามเช้าเวลา 7 นาฬิกาของวันศุกร์วันหนึ่ง โดยย้ำว่าต้องทำมาด้วยตัวเอง เมื่อได้ยินดังนั้น วาซิลิออสก็เริ่มอิดออด อาจารย์ดาไจล์ดูจะมีแววเอ็นดูระคนเจ้าเล่ห์ขึ้นมา แล้วมอบโจทย์เมนูให้เขาด้วย ซึ่งทำให้ทุกอย่างดูยากขึ้นกว่าเดิม เพราะวาซิลิออสทำเป็นแต่เมนูง่าย ๆ เท่านั้นเอง

_

จนถึงตอนนี้ ‘พี่ไซเลม’ ของเขาจะรู้รึยังว่าทำไมตอนนั้นวาซิลิออสถึงไปเผลอชอบเจ้าตัวเข้า

อาจจะเพราะค่าตอบแทนของคำขอแบบเอาแต่ใจของเขา คือช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น และพยายามดึงให้เขาทำอะไรใหม่ ๆ ที่อาจมีประโยชน์ต่อตัวเขาในอนาคตด้วยกระมัง

ไม่สิ แท้จริงแล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องพูดให้สวยหรูแบบนั้น เขาไม่คุ้นชินกับค่าตอบแทนที่ราวกับเป็นการมอบความสุขให้เขาด้วย ก็เท่านั้นเอง

The End.

Posted in Gallery

[RP] Side Story 6: Here and there (Gallery)

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ

.

.

.

0915_shirley

เชอร์ลีย์สมัยเด็ก ตอนขึ้นฝั่ง

.

gaius3

ไกอัสแห่งบลูไวเปอร์

.

kamil_shirley

เชอร์ลีย์กับคามิลเลียส (sub-character) เมื่อสมัยก่อน

.

0924_brown_daiong

บราวน์ นายช่างใหญ่

.

xavi_i

ไอริลกับซาวี่ที่เกรสติโอ้ พอร์ท

.

shirly_child

เชอร์ลีย์สมัยเด็ก ตอนอยู่บนเรือ เหมือนจะน้อยใจพ่อเลี้ยงนิดหน่อย

Posted in Writing

[RP] Fight with…

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ

จาก Fight with the Death

Word count: 519 words

.

.

.

Fight with…

.

.

จะสู้กับใครก็ได้ทั้งนั้น ข้าคงไม่อยากให้มันยืดยาว แต่ถ้าจะให้ประลองกับใครไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา ทั้งนี้ก็เพื่อชื่อเสียงของเรือด้วย หากให้เลือกปะทะกับใครสักคนทางฝั่งโน้นมาสักคนก็ คงไม่พ้นท่านไกอัส รองลงมา? จะใครก็ได้ แต่สู้ครั้งแรก ยังไงก็อยากเลือกคนคุ้นตาที่ปกติคงไม่มีโอกาสได้ประมือกันล่ะนะ ส่วนหนึ่งคงเพราะอยากลองปะทะกับคนที่คิดว่า อาจฝีมือดีกว่าข้า เพื่อดูว่าตัวเองจะไปได้ไกลแค่ไหน และในเมื่อมันเป็นการสู้ที่ฆ่าไม่ได้… ก็เลือกคนที่ไม่อยากฆ่าแต่แรกเสียดีกว่า (เผื่อพลั้งมือ) ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ถือว่าท่านไกอัสเป็นผู้มีบุญคุณ

.

นอกเหนือจากนั้น มีใครในเรือโน้นที่เคยเสวนาด้วยอีกนะ… อา วาเลนไทน์… วาสกับ ND…? ถ้าเจอกันอยากสู้เพื่อฆ่ามากกว่า สู้เบา ๆ มันจะสนุกรึ ส่วนที่ไม่เคยคุยด้วยแล้วอยากลองประมือ ยังไงมีกัปตันก็มีรองกัปตันนี่นะ เห็นว่ารองกัปตันของเรือบลูไวเปอร์ก็จะแข่งด้วยนี่นา—แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่เอาดีกว่า ไม่ชินที่จะลงการละเล่นกับคนตำแหน่งสูง ๆ เท่าไร (แต่ท่านไกอัสก็… โบซันนี่นะ ถ้าหากได้คุยกับรองกัปตันของทางโน้น ข้าอาจเปลี่ยนความคิดก็ได้) ว่านั่นว่านี่ จะชนะรอบแรกรึเปล่าก็สุดรู้ ถึงอย่างนั้นก็พยายามเต็มที่แล้วกัน เพื่อเป็นการให้เกียรติคู่ต่อสู้ด้วย—ข้าเคยได้รับการสอนเฉกนั้น อันที่จริงก็ได้รับการสอนที่เฉพาะเจาะจงมาหลายอย่าง เรื่องของ… คนนอกเรือก็ด้วย

.

อันที่จริง นอกเหนือจากท่านไกอัสแล้ว กับคนอื่นนี่คิดยังไงก็นึกอยากสู้เพื่อฆ่า ถึงจะเป็นเรือพันธมิตร ข้าก็ชินกับการสู้แบบนั้นมากกว่า แบบนี้ถ้าผ่านรอบแรกไปคงต้องพยายามปรับความคิดใหม่เป็นแน่ ท่านกัปตันเคยพูดเป็นเชิงว่าจะผูกมิตรกับเรือพันธมิตรก็ไม่เสียหายเสียด้วย… หากข้าจำไม่ผิด

.

ครั้งสุดท้ายที่สู้แบบไม่ได้กะเอาให้ตาย ก็มีแค่กับซาวี่เมื่อนานมาแล้วนี่นา—กับคนเรือเดียวกันไม่ได้ลำบากในจุดนั้นนี่นะ ข้าเองยังเคยพูดกับบราวน์ว่าอาจจะลองท้าฝีมือกับซานอสด้วย บนเรือลำก่อน ๆ ที่เคยอาศัย การสู้ประมือโดยไม่ได้กะจะฆ่ากันก็ไม่ใช่ปัญหาเหมือนกัน ท่าทางจะต้องปรับความคิดจริง ๆ (ถ้ามีจังหวะลุกขึ้นมาพยายามล่ะก็…)

.

ความจริงแล้ว หิน White Soul คือหินที่ข้าชอบ ข้าชอบลักษณะภายนอกของมัน แต่ไม่สนใจสะสมมันสักเท่าไร… หากสรรเอาของราคาถูกมา จะตีให้แตกเสียก็ได้

.

(แต่ก็เสียดายหินเหมือนกันนะเนี่ย)

.

The end.

Posted in Gallery, Prompt

[RP] Shirley Southsea

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ

timthumb

☾ Page of Shirley Southsea

ชื่อ-นามสกุล: Shirley Southsea (เชอร์ลีย์ เซาธ์ซี)

ชื่อเล่น: Shirl (เชิร์ล)

ตำแหน่ง: ลูกเรือ

เรือที่ต้องการสังกัด / กัปตันเรือที่ต้องการสังกัด: The Doomed Dawn / Derya Jamal

อายุ: 26 27 ปี

เพศ: ชาย

น้ำหนัก / ส่วนสูง: 75 kg / 187 cm

เมืองเกิด: เกิดบนเรือโดยสารจากโรซาริน่าไปซิมาฟ

เชื้อชาติ: ไม่ทราบแน่ชัด คาดว่าอย่างน้อยก็มีเชื้อสายชาวลาเอลอยู่

ลักษณะภายนอก: ผมสีบลอนด์ขาว ดวงตาสีเทา ชอบถักเปียเล็ก ๆ สองข้างที่ปอยผมด้านหน้าและผูกผ้าโพกหัวประดับลูกหิน ท่าทางกระฉับกระเฉง ส่วนใหญ่จะสวมเสื้อผ้าที่ไม่มีแขนเสื้อ ที่ข้อมือมักจะสวมกำไลลูกหินสีต่าง ๆ ให้เข้ากับชุดที่สวมใส่วันนั้น มักจะใส่ต้มหูลูกหิน แต่งกายสีสันสดใส เน้นสีแดงสด หลายชุดก็ดูเก่า ๆ โทรม ๆ บ้างคล้ายไม่มีเวลาดูแล แต่ก็มักจะใส่เสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าชั้นดี รูปร่างสูง ดูปราดเปรียว ผิวสีขาว ถ้าโดนแดดนานหรืออยู่ในอากาศเย็นมากแล้วผิวหน้าจะออกแดงอย่างชัดเจน (เวลาดื่มเหล้าก็หน้าแดงง่าย) เหน็บกริชกับขวานใหญ่ติดตัวเป็นประจำ มักจะสวมปลอกคอสีน้ำตาลดำ ยกเว้นเวลาออกปล้น

^20863BD4317C626A72E6F99EE09FE8529C41E029B683FD319D^pimgpsh_fullsize_distr

[ภาพอภินันทนาการจาก https://seykurohashi.wordpress.com/ ]

ลักษณะนิสัย:

  • ชอบยิ้มกวนระคนอวดดีอยู่เป็นนิจ ขี้เล่น
  • อยู่ในวัยที่โอหังและอาจประเมินตัวเองสูงกว่าความเป็นจริง อนึ่งคือค่อนข้างหลงตัวเอง และบางครั้งก็มั่นใจในตัวเองจนไม่ฟังใครและยังทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต
  • นิ่งลงกว่าปกติเมื่ออยู่กับหนังสือ
  • อดไม่ได้ที่จะปากดีไม่ดูเวลาเรื่อย ๆ
  • คล้ายจะชอบเอาใจคนอื่น แต่ในหลายกรณีอาจเพียงอยากกวนใจคนอื่นเขาแค่นั้นก็เป็นได้ แม้แต่ตัวเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก
  • เมื่อถือว่าได้สังกัดอยู่ที่ใดแล้วก็มักจะทุ่มเทอุทิศตนให้กับที่นั่นเต็มที่ ฉะนั้นในตอนนี้จึงตั้งใจจะทำหน้าที่ของตัวเองในเรือดูมดอว์นอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ถือว่าการอุทิศตนกับการผูกมัดเป็นคนละเรื่องกัน
  • ปฏิบัติกับผู้คนไม่เท่ากัน จะสุภาพ นัวเนีย ออเซาะหรืออวดดีกับใครก็แล้วแต่สัญชาตญาณตัวเองจะชี้นำ
  • ถ้าเดือดดาลขึ้นมาจะติดนิสัยใช้กำลัง
  • สนุกกับการฆ่าคนอย่างช้า ๆ แต่ก็จะไม่ทำให้ความชอบส่วนตัวนี้ถ่วงการขโมยสมบัติหรือกิจอื่นที่จำเป็นต้องทำ ณ เวลานั้น ส่วนกรณีที่สนุกกับการฆ่าเร็ว ๆ มักจะตอนได้พรากทารกจากอกแม่และฆ่าต่อหน้า
  • รักสมบัติ แต่เมื่อมีเหตุเสียทรัพย์ไปก็ไม่เก็บมาเจ็บแค้น และไม่ก็ไม่เสียดายของที่พังไปเกินกว่าจะซ่อมได้แล้ว
  • ตระหนักรู้ความรู้สึกของตนที่มีต่ออะไรช้าเอามาก ๆ  อาจจะเว้นแต่ความรู้สึกโกรธ

ประวัติ:

ปี 91 – 103:

  • เกิดบนเรือโดยสารจากโรซาริน่าไปซิมาฟ คาดว่าเป็นลูกของชนชั้นสูงที่แอบมาคลอดบนเรือแล้วทิ้งลูกไว้เพื่อปิดบังเรื่องอื้อฉาว กัปตันผู้เป็นชาวมัวร์ของเรือโดยสารนั้นเป็นคนไปพบเด็กทารกและตัดสินใจเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรม
  • เชอร์ลีย์มีชีวิตช่วงแรกอยู่ในเรือ และเคยกลัวที่จะขึ้นบกเพราะเคยโดนลูกเรือคนหนึ่งแกล้งกรอกหูว่า “คนบนบก” รังเกียจคนที่ไม่ได้เกิดบนบก พออายุ 5 ขวบถึงได้ลองยอมขึ้นบกเป็นครั้งแรก
  • มีนิสัยชอบขโมยอาหารในเรือมาตั้งแต่เล็ก ๆ  โดนกัปตันของเรือโดยสารนั้นตีบ่อย ๆ แต่ก็ไม่เข็ดเสียที
  • ชอบเก็บสะสมของที่พวกคนโดยสารทิ้งไว้ แต่ไม่ค่อยเจอของมีราคาสูง สมัยนั้นชอบสะสมหนังสือและนาฬิกาพกเป็นพิเศษ (แพทย์ประจำเรือเป็นคนสอนอ่านหนังสือ) ถ้าเจอซิการ์ก็จะเอาไปฝากกัปตัน มีอยู่ครั้งหนึ่งพบกำไลอัญมณี พอเอาไปฝากกัปตันแล้วกัปตันดูดีใจมาก เลยเริ่มนิสัยลักขโมยของมีค่า ไม่เคยโดนจับได้

ปี 104 – 107:

  • มีลูกเรือคนหนึ่งถอนตัวจากเรือโดยสารนั้น เขาหลอกพาเชอร์ลีย์ลงเรือไปเที่ยวด้วยกันที่รอนโดรี่ ก่อนจะนำไปขายให้กับซ่อง เชอร์ลีย์พบยูลและได้มีเพื่อนวัยรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นครั้งแรก อยู่ได้ไม่กี่เดือนเชอร์ลีย์ก็หนีออกมาครั้งหนึ่ง แต่ก็โดนจับกลับไปในเวลาอันสั้น ที่ซ่องเอาฝิ่นกับกัญชาให้เชอร์ลีย์เสพจนติด เขาไม่กล้าหนีออกมาอยู่นานระหว่างที่เป็นทาสฝิ่นกับกัญชาอยู่ที่นั่น ที่รอนโดรี่ไม่มีโสเภณีชายที่มีลักษณะของชาวลาเอลอยู่เยอะนัก หลังจากเรียนรู้งานนี้อยู่พักใหญ่ก็ได้ราคาสูงกว่าเดิม กลับกลายเป็นได้รับการทะนุถนอมจากเจ้าของซ่องอยู่พอสมควร

ปี 108114:

  • เมื่อยูลวางเพลิงซ่อง ก็หนีออกมาด้วยกัน
  • เชอร์ลีย์จากยูลโดยไม่บอกลา แล้วลักลอบขึ้นเรือพาณิชย์ที่กำลังเดินทางไปอัคซาเร ได้พบกับกัปตันเรือนามว่าคามิลเลียสเข้า คามิลเลียสตัดสินใจรับเชอร์ลีย์เข้ามาเป็นลูกเรือ และคอยคุมดูแลเชอร์ลีย์จนเลิกติดฝิ่นและกัญชา ทั้งคู่เป็นคู่รักกันอย่างลับ ๆ
  • ได้ฝึกการเดินเรือและศิลปะการต่อสู้จากท่านคามิลเลียสตลอดเวลาที่อยู่บนเรือพาณิชย์ กับคนรุ่นราวคราวเดียวกันแล้วเชอร์ลีย์ไม่เป็นรองใครในเรื่องของความเร็วในฝีเท้าและในฝีดาบ
  • เรือพาณิชย์นั้นล่มไปเมื่อเจอกับพายุใหญ่ระหว่างเดินทางไปซิมาฟ คามิลเลียสสาบสูญ

ปี 115 – 117:

  • เชอร์ลีย์ตัดสินใจลองท่องทะเลทรายดูบ้าง จึงไปเข้าร่วมกับพวกหมู่โจรทะเลทราย คอยตามขโมยของจากพวกพ่อค้าที่ขนส่งสินค้าข้ามทะเลทรายเข้า-ออกซิมาฟ นอกจากนั้นเชอร์ลีย์ก็ขายตัว ลักขโมย และขายกำไลลูกหินเป็นงานเสริม
  • หลักจากเบื่อการเดินทางในทะเลทรายก็เป็นผู้ช่วยคนขายเนื้อที่ซิมาฟ  และเริ่มคิดอยากกลับสู่ทะเลอีกครั้ง ว่าจะหาช่องทางเข้าร่วมกับโจรสลัดเรือใหญ่

ปี 118:

  • พบอิกกี้ที่ร้านหนังสือที่ซิมาฟ พบว่าคนคนนี้น่าค้นหาติดตาม แต่ไม่ควรไปหือด้วยอย่างประหลาด
  • ขึ้นเรือดูมดอว์น ลึก ๆ แล้วนับเป็นหนี้อิกกี้อยู่มากที่ได้กลับมาสู่ทะเลในแบบที่ตัวเองต้องการ

[สามารถโคประวัติเพิ่มเติมได้]

อาวุธ: เรียงลำดับตามความถนัด –> มือเปล่า=ขวาน>ดาบสั้น>กริช

ประสบการณ์การเดินเรือ (ปี): เดินเรืออย่างจริงจังเป็นเวลา 6 ปีเมื่อสมัยเป็นลูกเรือให้เรือพาณิชย์ของคามิลเลียส (เวลาที่อยู่บนเรือ 12 ปีเมื่อสมัยเด็กก็ได้รับความรู้เรื่องวิธีการเดินเรือมาตลอด แต่ไม่มีประสบการณ์ในเชิงปฏิบัติมากนัก)

สิ่งที่ชอบ: การอ่านหนังสือ, เซ็กซ์กับคนในแบบที่ชอบ, เซ็กซ์ที่ได้เงินทองตอบแทน, ซิการ์, ลูกหิน, นิ้วมือ นิ้วเท้าของคนหรือหัวของทารกตอนถูกตัดออกใหม่ ๆ, ผู้ชายท่าทางเนี้ยบ ๆ และดูเรียบร้อย, กลิ่นทะเล, เสียงคลื่นที่ได้ยินจากบนเรือ/ในเรือ, ทำสร้อยข้อมือ, การทำอาหาร, เหล้ารัม, การเล่นซ่อนหาบนเรือ, เสียงไวโอลิน, แสงจันทร์

สิ่งที่ไม่ชอบ: เสียงกรี๊ดอย่างสนุกสนานของเด็ก

สิ่งที่เกลียด: ท้องฟ้าสีแดงยามเช้า (=พายุอาจจะเข้า), การโดนคนที่ตนยอมรับดูถูก

อุดมการณ์/ความต้องการ: ความผิดพลาดพื้นฐานในการใช้ชีวิตคือการคิดว่าความสุขคือเป้าหมาย, คนบนโลกนี้ไม่มีดีหรือเลว มีเพียงชาวบกหรือชาวทะเล, ต้องการชีวิตที่มีการเดินทางและเสียงคลื่นจากบนเรือ

Twitter: https://twitter.com/Shirley_DDawn

Twitter ผปค.: https://twitter.com/Daiong

ฝากตัวด้วยนะคะ (u _ u,,

Posted in Writing

[WIW: RRC] Choose Your Duty

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ

avatar.org

World is War: The Republic of Russia-China

.

.

.

Word count: 631

.

.

.

Sub Event 1:Choose Your Duty

.

.

.

1.

.

วลาดิเมียร์รักหมา หลายครั้งที่เขารักหมามากกว่าคน เขาเคยมีเยอรมันเช็ฟเฟิร์ดตัวหนึ่งเป็นของขวัญวันคริสต์มาสจากพ่อแม่เมื่อเริ่มย่างเข้าสู่วัยรุ่น วลาดจำได้ว่าเขาเคยบอกว่าอยากได้หมาใหญ่ เขาอยากได้หมาใหญ่มาตลอดตั้งแต่จำความได้ เนื่องด้วยพวกมันดูน่าจะมีประโยชน์ ออกจะเป็นแนวคิดแบบ functionalist (ผู้ถือคติคำนึงประโยชน์) โดยไร้อารมณ์ไมตรีจิตอยู่สักหน่อย แต่วลาดก็คิดเช่นนั้นจริง ๆ

.

เยอรมันเชฟเฟิร์ดตัวนั้นได้รับการตั้งชื่อว่าอีวานส์ เป็นชื่อโหล ๆ ชื่อหนึ่ง เพราะวลาดชอบชื่อนี้มาตลอดและนึกชื่ออื่นไม่ออกแล้ว—เขาเป็นคนไร้เซนส์ในการตั้งชื่อ อีวานส์อายุเพียงหนึ่งเดือนตอนที่พ่อแม่พามันมาที่บ้านในวันคริสต์มาส มันอ่อนวัยมากเสียจนวลาดเคยเกรงว่ามันจะไม่รอด แต่มันก็เติบโตได้ด้วยดีหลังจากผ่านการดูแลอย่างใกล้ชิด

.

วลาดเพิ่งย้ายโรงเรียนใหม่ ๆ ตอนที่ได้อีวานส์มา ในช่วงนั้นเขาถูกแกล้งที่โรงเรียน คาดว่าเพราะยังไม่สูงมากนัก และค่อนข้างรูปร่างเก้งก้างกว่าคนอื่น ๆ ในห้อง อีกทั้งยังมีปฏิกิริยารุนแรง บัดนี้เมื่อนึกย้อนกลับไป วลาดมักจะคิดว่าหากเขาตอบโต้ด้วยอาการเพิกเฉยกว่านี้ ก็อาจไม่โดนกลั่นแกล้งอยู่นานขนาดนั้น แต่เพราะว่าเขามักจะโต้ตอบ มักจะพยายามสวนกลับ และเกลียดการถูกบังคับให้ก้มหัวให้คนอื่น คนเหล่านั้นจึงแกล้งหนักข้อยิ่งขึ้นทุกขณะ—อย่างไรก็ตาม อีวานส์เป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวที่วลาดมีในช่วงเวลานั้น

.

เขาจำได้ว่าเมื่ออีวานส์เริ่มแข็งแรงเพียงพอ เขาก็เก็บเงินค่าขนมส่วนหนึ่งมาซื้อเนื้อถูก ๆ มาผูกติดเข้าไปหุ่นไล่กาของที่บ้าน ผูกติดเข้ากับจุดสำคัญ – ลำคอ ท่อนขา ใบหน้า ท่อนแขน  และใช้ฟางมัดให้รูปร่างของหุ่นไล่กาเหมือนคนยิ่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ สอนให้อีวานส์รู้ว่าควรกัดเนื้อที่ไหน ในตอนนั้นพ่อกับแม่เคยสงสัยว่ามันจะได้ผลหรือไม่ วลาดก็บอกให้ทั้งคู่รอดูก่อน สุดท้ายเขาก็พบว่าเป็นวิธีที่นำมาประยุกต์ใช้ได้ผลดีกับการฝึกให้อีวานส์โจมตีตามคำสั่ง จุดสำคัญคือต้องให้สัญญาณคำสั่งที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น

.

สำหรับปีค.ศ. 2100 นี้ วลาดคิดไว้อยู่แล้วว่าเขาอยากเข้าหน่วยฝึกสุนัขทหาร แต่เขาก็ยังลังเล กระนั้นหลังจากได้แวะไปโรงเรือนสุนัขทหาร เขาก็ตัดสินใจได้

.

_

.

เขากลัวตาย นั่นเป็นเรื่องแน่นอน

.

เขาเคยผ่านประสบการณ์กู้ระเบิดมาก่อน เคยนึกภาพตัวเองไร้ศพส่งกลับไปที่บ้าน การที่มือไม่สั่นในสถานการณ์เช่นนั้นกลับเป็นความทรงจำที่เขาให้ค่า เขาคิดว่าหากต้องตรวจระเบิดโดยมีจมูกของหมาชี้นำนั้นก็คงจะดีไม่น้อย อันที่จริงเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาหลงใหลอาชีพทหารก็เพราะหากเขาตาย มันคงเป็นการตายที่น่าสนใจ มันจะน่ากลัวเพราะเขากลัวความตาย แต่มันจะน่าสนใจ

.

เขานึกถึงการที่ทหารเคยใช้หนังของเก้าอี้ที่คนถูกสอบสวนมาเก็บไว้ในขวดโหล เพื่อให้หมาตามดมเผื่อในกรณีที่มีการหลบหนี

.

เขานึกถึงโจรที่เคยขึ้นบ้านของเขา และโดนอีวานส์กัดจนนิ้วขาด

.

เขานึกถึงอีวานส์ที่ตายไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว

.

เขาถวิลหามิตรภาพที่มาพร้อมกับความรู้สึกปลอดภัย

wiw_vladimir_sub_mission2

RUS_wiw_vladimir2

The End.

Posted in Gallery, Prompt

[WIW] Vladimir Zaytseva

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ

avatar.org

World is War: The Republic of Russia-China

vladimir_zaytseva_wiw

ชื่อ-สกุล: วลาดิเมียร์ ซายเซทว่า (Vladimir Zaytseva)

วันเกิด: 01/09/2074

อายุ: 26

ตำแหน่ง: ร้อยโท

เพศ: ชาย

น้ำหนัก/ส่วนสูง: 183cm/80kg

สีตาสีผม: สีเทา/สีฟางซีด

ลักษณะภายนอก: ผมสั้นสีฟางซีดตัดสั้นนั้นปัดเรียบแปล้ไปด้านหลังเพื่อเปิดหน้าผากทั้งหมด ดวงตาคมสีเทา คิ้วบางจนแทบไม่เห็น ปลายจมูกออกแหลมเล็กน้อย หน้ายาว เป็นคนแขนขายาว

เชื้อชาติ-สัญชาติ: รัสเซีย-รัสเซีย

เมืองเกิด: Saint Petersburg, Russia

ลักษณะนิสัย: เป็นคนที่มีบุคลิกแข็ง ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ค่อนข้างสุภาพกับทุกคน ให้ความเคารพกับผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่ามาก พยายามทำตัวให้น่าเกรงขามกับคนที่ตำแหน่งต่ำกว่า แต่ก็รับฟังความคิดเห็นของคนทุกตำแหน่ง แสดงความเชื่อในสหพันธ์ รัสเซีย-จีนอย่างไม่ปิดบัง เชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอันดี

ประวัติโดยสังเขป: คุณปู่เสียชีวิตไประหว่างการประกอบอาชีพทหาร วลาดิเมียร์จำคุณปู่ไม่ได้แล้วเพราะเคยเจอเมื่อสมัยยังเล็กมาก ๆ  แต่พ่อกับแม่มักจะพูดบ่อย ๆ ว่าคุณปู่ตายไปอย่างมีเกียรติ วลาดิเมียร์อยากเป็นทหารมาตั้งแต่เล็ก แล้วเมื่อวลาดิเมียร์เติบโตขึ้นก็ไปสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย สุดท้ายก็เข้ารับราชการได้ และได้ตำแหน่งร้อยโทในที่สุด การเป็นทหารที่แท้จริงไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเคยนึกภาพไว้นัก แต่เขาก็ยังรู้สึกพอใจกับชีวิตของสายอาชีพนี้

อื่นๆ: ชอบว่ายน้ำ ชอบเขียนกลอนอิสระ

Twitter: @WIW_Vladimir