Posted in Writing

#WZD Déjà vu

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของpasted image 0.png

 

Pairing: Vasilios Argyris/Sylem Dagile

Rating: PG

 

 

 

_

 

 

Déjà vu

 

ความรู้สึกที่เหมือนเคยเจอคู่ชีวิตก่อน ‘พบกันครั้งแรก’ อาจจะมีจริงก็ได้

 

ราวกับว่า ได้เจอไซเลมเมื่อสมัยเด็ก ๆ  แต่อย่างมากที่สุดก็คงเป็นเพียงครั้งเดียวในวันที่แสนสั้น เขาไม่น่าจะทำอะไรเป็นแก่นสารในวันนั้น ตอนนั้นพ่อก็คงสอนให้เขา ‘ล่าหากิน’ ได้แล้ว แต่ตามประสาเด็กเขาก็คงจะเล่นจนลืมหิว

 

เขาผงกหัวขึ้นจากหมอน มองปีกเล็ก ๆ ที่คอของคนผมทอง

 

ไม่กล้าถาม

 

ได้แต่ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดคอ เขาคงเหม่อคิดจนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วเอาความทรงจำเก่า ๆ มาปะปนกันแน่ ๆ  แต่ถ้าลองคิดเล่น ๆ สมมุติไซเลมเจอตัวเขาตอนเด็กจริง ไซเลมก็อาจจะอายุประมาณยี่สิบกลาง ๆ? ยิ่งคิดดูก็ยิ่งเป็นไปได้ แต่เขาคงไม่ถามอยู่ดี… เพราะถึงจะเป็นแบบนั้น ก็คงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้พวกเขาได้รู้จักกันใกล้ชิดในตอนนั้น

 

สมัยเด็กเขามีโอกาสได้คุยกับผู้ใหญ่บ่อย ๆ  อาจจะบ่อยกว่าคุยกับเด็กด้วยกันเอง การเอาตัวรอดตามแบบเผ่าพันธุ์ตัวเองนั้น… มาคิด ๆ ดูก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ได้เหงาด้วยซ้ำ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอะไร ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีอะไรให้จดจำเป็นพิเศษขนาดนั้นเหมือนกัน โลกมีอะไรให้ทำมากมาย แต่ส่วนใหญ่องค์ประกอบในชีวิตเขาก็คือทำในสิ่งที่คนอื่นอยากให้ทำ ทำให้คนอื่นมีความพึงใจก็พอ ถึงอย่างนั้นด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็พยายามใช้ชีวิต ต่อสู้เพื่อใช้ชีวิต แม้จะทำเพียงเพื่อความปรารถนาของผู้อื่น บางทีเขาอาจจะหวังว่าลึก ๆ แล้วเขาเองก็มีความสุขไปกับชีวิตแบบนั้นเช่นกัน

 

มันอาจจะเปลี่ยนตอนที่เขาได้ลองสู้เมื่อเริ่มชอบไซเลม ความจริงก็สู้ด้วยหัวใจที่เหมือนอกหักไปเกินครึ่งแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่ได้คิดว่าไซเลมจะเลือกเขา หรือเขาจะมีความหมายอะไรในระยะยาวนัก ต่อให้ไม่ได้เป็นคนรักเขาก็อยากจะพยายามเพื่อให้ได้มีคนคนนี้อยู่ในชีวิต

 

ที่ไซเลมเคยบอกเขาประมาณว่า เขาชอบพูดเหมือนตัวเองไม่ได้มีอะไรพิเศษ พอย้อนคิดดูตอนนี้ก็ได้แต่ยิ้มออกมา สำหรับเขาแล้วออกจะเป็นเรื่องปกติที่จะคิดแบบนั้น ในเมื่อพอนึกย้อนดูก็ไม่มีเรื่องเจ๋ง ๆ ในอดีตมาเล่าให้ฟังเท่าไร เพราะเขาจำอะไรไม่ค่อยได้ก็ส่วนหนึ่ง ไม่ได้มีวิถีชีวิตที่น่าอวดอะไร และในส่วนที่พิเศษ ก็มีแต่จะตอกย้ำมากกว่าว่าเขามันแกะดำ

 

ตอนสงครามเริ่มต้นใหม่ ๆ  เขาผ่อนคลายไม่ได้เลย เพราะถึงแม้จะมีพลัง แต่ก็เหมือนจะไม่มากพอที่จะช่วยไซเลมได้

 

แต่ตอนนี้…

 

วาซิลิออสเลื่อนมือไปเล่นกับปอยผมทอง เขาเองรู้สึกได้ถึง ‘พร’ ที่ได้รับมาจากคุณมังกร อีกทั้งยังเวทมนตร์ที่ไซเลมเชื่อใจให้เขาเป็นคนคอยควบคุมไซเลมให้อยู่ในพื้นที่จำกัดได้อีีก แต่เพราะ… มีแต่ได้รับของขวัญมากมาย จึงอยากใช้พลังนี้ปกป้องไซเลมได้ ทั้งที่กดดันแต่ก็มีความหวัง

 

แล้วตอนนี้ก็เริ่มมีความทรงจำพิเศษให้พูดถึงกันแล้วด้วย เขาเอง… เมื่อก่อนเคยคิดว่าถึงตายไปก็คงไม่เสียดายสักเท่าไร แต่ตอนนี้… ยังมีเรื่องอยากทำที่ยังไม่ได้ทำนี่นา

 

วาซิลิออสเพียงแต่ขยับเข้าไปเอาจมูกซุกเส้นผมอีกฝ่าย “พี่เลม… รู้ไหม…” เขาเอ่ยเสียงเบา ราวกับไม่ได้หวังให้ไซเลมตื่นเป็นพิเศษ “บางทีก็อย่างกับว่า เคยเจอพี่มาก่อน”

 

 

 

The End.

Posted in Writing

[PBI] เปิดใจ

Entry นึ้เป็นส่วนหนึ่งของ PBI Community

Pairing: Knightley/Quatair

Rating: PG

_

 

 

 

เปิดใจ

 

ก่อนหน้านี้ ไนท์ลีย์ก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับควอแตร์มากเท่าไร บางครั้งเขาก็คิดว่าเขาไม่ใช่คนที่คุยกับควอแตร์บ่อยที่สุดด้วย อีกทั้งที่ผ่านมาก็เหมือนจะไม่ค่อยได้คุยอะไรที่ทำให้ค้นหากันและกันได้มากสักเท่าไร ทั้งแบบนั้นแล้ว เขาก็ยังอยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเธอ และอยากให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา บางครั้งก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปได้ ทั้งที่ปกติเขาก็เป็นคนตั้งเงื่อนไขมากมายทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะควอแตร์เป็นคนที่เขายังหาเงื่อนไขที่เธอมีให้เขาไม่ค่อยพบสักที—เขาแน่ใจว่าเธอมี แวร์วูฟทุกคนมีเรื่องขอบเขตมาเกี่ยวข้องเสมอ แต่ยิ่งเธอให้อะไรกับเขาโดยไม่มีเงื่อนไขกับเขามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะพยายามให้อะไรเธอแบบไม่มีเงื่อนไขมากขึ้น ซึ่งลึกลงไปแล้ว เขาก็หวั่นเกรงกับความรู้สึกไร้ขอบเขตอยู่บ้าง

 

มีบางอย่างเกี่ยวกับเธอที่ทำให้เขารู้สึกสะดุด—จะเรียกว่าแบบนั้นก็คงได้—เมื่อช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิของปี 2018 เป็นการสนทนากันจริงจังเป็นครั้งแรก ที่แย่น่าจะเป็นส่วนที่เขาทำเธอร้องไห้ และไม่ใช่เพราะอะไรอื่น เพราะเขาไปถือวิสาสะพูดกับเธอเองว่า เธอเป็นคนที่ให้อะไรโดยไม่มีเงื่อนไขเท่าไร และนั่นอาจทำให้เธอถูกใช้ประโยชน์โดยง่าย เหตุผลที่เขาพูดก็เป็นเพียงเพราะว่าเธอใจดีกับเขา แต่เขากลับตอบแทนความใจดีของเธอแบบนั้น

 

แม้จะพูดด้วยความเป็นห่วง แต่เป็นแบบนี้แล้ว คนที่ควรจะอยู่ใกล้เธอน้อยที่สุด อาจจะเป็นคนแบบเขาก็ได้

 

เขารู้มาตั้งแต่วันนั้นว่าเธอไม่ชอบฝน เธอใจดีกับทุกคน—และความจริงก็คงจะรักทุกคน แต่กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร แต่เขาก็คิดว่าสำหรับควอแตร์แล้ว มันคงเป็นเรื่องสำคัญ

 

_

 

พบกันครั้งถัดมา เขาก็พาแมรี่มาที่สวนสาธารณะเพื่อจะได้พบปะควอแตร์ด้วย ในวันนั้นควอแตร์ใส่เสื้อผ้าที่ดูสุภาพเรียบร้อยกว่าปกติ พอเห็นความใส่ใจที่มีต่อแมรี่นั้นก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ทั้งที่เธอไม่จำเป็นต้องกังวลก็ได้แท้ ๆ  แมรี่เองก็เป็นเพียงเด็กที่เขาเองก็ไม่ได้สอนเป็นพิเศษว่าการแต่งตัวแบบไหนเป็นแนวผู้หญิงหรือผู้ชาย และเอาเข้าจริงเขาเองก็ไม่ได้คิดเยอะเรื่องนี้

 

หลังจากคุยสัพเพเหระไปสักครู่ เขาก็หลุดแหย่ออกไปก่อนจะห้ามปากตัวเองได้ทันว่า “หรือว่าจริง ๆ แล้วใส่เสื้อแบบนี้มาให้ผมมากกว่าแมรี่กันนะครับ” แทบจะกัดลิ้นตัวเองเหมือนกัน หากเขาเป็นควอแตร์ก็คงมองว่าตัวเขาอวดดีสิ้นดี ในตอนนั้นไนท์ลีย์เองก็ไม่แน่ใจว่าต้องการคำตอบแบบไหน เขาก็ไม่ใช่วัยรุ่นที่น่าจะมาหยอกเล่นเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย เขาเพียงแต่คิดว่าเขามีทางเลือกที่จะพูดหรือไม่พูด

 

ลึก ๆ แล้วเขาคงจะอยากพูดมากกว่า

 

_

 

“เอาเข้าจริงก็ควรกินให้ตรงเวลาเป็นอย่างน้อย เพราะยังไงสุดท้ายเรื่องบางเรื่องละเลยไปมันก็กลับมาในฐานะบิลสุขภาพอยู่ดี” เขาพูดกับควอแตร์ด้วยเสียงเรียบ ๆ กว่าปกติ อาจเพราะเป็นบทสนทนาทำนองที่มักจะต้องมีกับคนรอบกายบ่อยครั้ง จึงเข้มงวดขึ้นมา

 

ควอแตร์ดูจ๋อยราวกับหมาในโอวาส แล้วพยักหน้าหงึก ๆ “ค่ารักษามัน… แรงจริง ๆ นั่นแหละค่ะ” เธอหัวเราะแห้ง พลางละมือจากช้อนขนมของงานกาล่าตรงหน้า แล้วบีบมือตัวเองอย่างประหม่า “หรือโรค—ไม่ ๆ  ฉันหมายถึงเรื่องที่คุณป่วย ก็ต้องจ่ายค่ารักษาเยอะเหมือนกัน?”

 

ไนท์ลีย์เห็นท่าทีแบบนั้นแล้วก็ดันใจอ่อนเอาง่าย ๆ  ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดว่าจะดุแล้วเชียว แม้ว่าเขาเองคงไม่มีสิทธิ์ก็ตาม ถึงอย่างนั้นฟังดูจากถ้อยคำ เขาก็คิดว่าควอแตร์เองก็เข้าใจ… เขารู้ตัวว่าตัวเองมีทรัพย์จึงได้มีชีวิตแบบที่มีอยู่ตรงนี้ รู้ตัวเสมอว่าเป็นอภิสิทธิ์ เขากะพริบตาปริบขณะทำความเข้าใจคำถาม ก่อนจะกล่าวว่า “ผมมีไม่สบายบ้างเป็นบางครั้งเพราะความอ่อนแอในลักษณะคนผิวเผือก แต่เพราะมีพลังของมนุษย์หมาป่าเลยยังนับว่า ป่วยไม่บ่อยเท่าที่คนผิวเผือกทั่วไปเป็นครับ แถมเกิดมาเป็นอัลฟ่าด้วย แต่ว่า… มันเหมือน ‘เผลอเป็นไม่ได้ ก็ป่วยอีกแล้ว’ หรือ ‘ทีคนอื่นในครอบครัวไม่เห็นป่วยจุกจิกขนาดนี้เลย’ ก็เลยพยายามรักษาตัวเอามาก ๆ หน่อย ว่ากันตามตรงก็จากความเซ็งเบื่อ หงุดหงิดรำคาญไม่ใช่น้อยครับ… ทั้งที่ถ้ามีแรงกระตุ้นแง่บวกก็คงจะดีกว่า”

 

ควอแตร์ผ่อนคลายลง ก่อนจะกล่าวว่า “เอ๋ งั้นถ้าเปลี่ยนเป็นแบบ ‘ถ้าไม่ป่วยหรือหายป่วยเร็วจะได้ทำ… ที่อยากทำ ได้กิน… ที่ชอบ’ ไม่ก็ ‘ไม่ป่วยเพื่อที่จะ…’ หาเงื่อนไขภายนอกมาเป็นแรงกระตุ้น หรือตั้งเงื่อนไขภายในเอา อะไรแบบนี้ดูไหมคะ… ที่จริง กับอาการป่วยแบบนั้น ฉันคิดว่าคุณ ‘พิเศษ’ กว่าคนอื่นอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องทำอะไรที่มันพิเศษ ๆ กว่าคนอื่นอยู่แล้ว” เธอกำหมัดเป็นเชิงให้กำลังใจ

 

เขาใช้มือหนึ่งจิ้มขนมไป อีกมือเท้าคางมอง ยิ้มอ่อนใจระคนเอ็นดู “คอนเซปต์ที่ว่า ‘พิเศษ’ เนี่ยไม่ได้คิดมานานแล้วครับ แต่ในฐานะเจ้าของโรคจะให้คิดแบบนั้นมันก็ยากเหมือนกัน… แต่ถ้าคุณคิดแบบนั้นก็ดีใจนะครับ”

 

ความจริงแล้ว การที่ใครสักคนคิดแบบนั้น ก็ชวนเยียวยาอยู่เหมือนกัน ไม่สิ… เพราะเป็นคนที่สนใจคิดแบบนั้น จึงรู้สึกราวกับได้รับการเยียวยาต่างหาก

 

_

 

“ชอบแนวนี้สินะครับ” ไนท์ลีย์เอ่ยกับควอแตร์ขณะดูภาพสีน้ำมันที่ไหลผสมปะปนกันเป็นแนวนามธรรม “ดูแล้วผ่อนคลายดี อาจเพราะผมตีความมันไม่ออกนัก ก็เลยเหมือนไม่ต้องคิด ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามบรรยากาศมากกว่า”

 

“จริงของคุณ แต่อาจเป็นเพราะบางอย่างไม่จำเป็นต้องตีความก็ได้ค่ะ… มันเป็น ในแบบที่เป็นอยู่แล้ว โดยภาพรวมจะปรากฏแก่สายตาคุณ เหมือนกับที่ทุก ๆ คนเห็นอยู่แล้ว”

 

แท้จริงแล้วนั่นเป็นแนวคิดในแบบที่ไนท์ลีย์หวาดกลัวเป็นพิเศษ อาจจะเพราะรอบตัวของเขาไม่มีคนแบบเธอ จึงยิ่งกดดันมากขึ้น

 

แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกสบายใจ

 

บางทีความขัดแย้งในความรู้สึก อาจยิ่งทำให้ความรู้สึกบางอย่างแจ่มชัดยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นได้

 

_

 

บางครั้ง เขาคิดว่าควอแตร์รู้เรื่องของเขามากกว่าที่เขารู้เรื่องของควอแตร์ และบางครั้งเขาก็สงสัยว่าเหตุใดเธอจึงดีกับเขานัก ทั้งที่เขามีอะไรให้เธอน้อยมาก เขาคือทราย ในขณะที่เธอคือดิน

 

ตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วที่เขาเลิกสวมแหวนแต่งงาน เขาบอกตัวเองว่าจะพยายามไม่ร้องไห้เรื่องของภรรยาเก่าอีก แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่เด็ดขาดแบบนั้น หลายปีที่เขาร้องไห้เรื่องเดิมเพียงคนเดียว ถึงอย่างนั้นเขาก็เคยถูกแมรี่โกรธเพราะเธอนึกว่าเขาไม่เคยเสียน้ำตาให้กับคุณแม่ของเธอเลย ความจริงก็ตั้งแต่สมัยเด็กแล้วที่เขาชินกับการร้องไห้เพียงคนเดียว ในยามที่เศร้าและยามที่ทำดี คือสองเวลาที่คนเราควรจะพยายามดำเนินไปเงียบ ๆ  บางทีเขาจะได้รับการสอนมาแบบนั้น เขาจึงพยายามทำเช่นนั้น บางครั้งเขาก็ล้มเหลว น้องชายเคยพบตัวเขาที่ร้องไห้อยู่ น้องบอกว่าเขาควรจะหัดร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเสียบ้าง แล้วจะดีขึ้น—จนปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไรมาทำให้เขาเชื่อมุมมองนั้นสักที

 

เขาจำรายละเอียดของช่วงเวลาที่แม่ของเขาเสียชีวิตไม่ได้นัก แต่เขาจำความรู้สึกได้ มันเป็นเสมือนคลื่นสาดซัดให้จมน้ำหลังจากที่กำลังเล่นสนุกอยู่ ส่วนเรื่องของคุณพ่อ มันก็จบด้วยความตาย และสุดท้ายเรื่องของแอนน์-มารี ภรรยาเก่าของเขา ก็จบลงด้วยความตายอีกเหมือนกัน น้องชายของเขาเองก็เคยพูดบ่อยครั้งเรื่องที่ว่าน้องอาจจะอยากอยู่บนโลกนี้ไม่นาน บางครั้งไนท์ลีย์ก็นึกภาพว่าอีกสิบปีข้างหน้า—ด้วยสถานการณ์ โอกาส หรือทางเลือก เขาอาจจะเหลือเพียงตัวคนเดียว ลึกลงไปเขาก็อยากจะจากโลกนี้ไปก่อนที่คนอื่นจะจากเขาไป แต่—

 

สิ่งที่ช่วยให้ยึดเหนี่ยว อาจจะเป็นแมรี่ แต่แม้กระทั่งแมรี่เอง ก็ยังมีปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือความควบคุม สถานการณ์ที่เขาอาจปกป้องเธอไม่ได้

 

และเพียงเพราะเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรับมือกับแผลเป็นที่ยังหลงเหลือในจิตใจได้ดี เขาก็เอามันไปลงกับควอแตร์ ในงานกาล่าวันเดียวกันนั้น เขาเอ่ยกับเธอว่า “เอาเข้าจริงแล้ว ผมไม่มีหลักประกันอะไรด้วยซ้ำว่าจะเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้นได้  ‘คุณ’ ต้องรับผิดชอบความสุขของตัวเอง”

 

เฉียบพลันนั้นเองที่ดูเหมือนเขาจะทำให้เธอเครียดขึ้นมา “ฉัน… ไม่ได้อยากให้ใครทำให้ฉันมีความสุข ฉันต่างหากที่อยากจะสร้างความสุขให้คนอื่น… ให้คุณ”

 

แล้วเขาก็ทำควอแตร์ร้องไห้อีกแล้ว

 

_

 

เขาเคยชวนเธอไปดูพลุด้วยกัน

 

“เป็นครั้งแรกเลยนะคะ ที่ได้มานั่งดูแบบนี้ ฉันหมายถึง ปกติเดินดูคนเดียว ไม่ก็นอนอยู่ที่ห้องน่ะ ขอบคุณที่มาด้วยกันนะคะ แล้วก็…” เสียงของเธอในประโยคสุดท้ายพลันโดนผู้คนรอบข้างร้องเฮต้อนรับดอกไม้ไฟดังกลบไปหมด ควอแตร์สะดุ้งตกใจ แล้วหลุดหัวเราะแหะ ๆ  เธอหันกลับไปมองพลุ แล้วมองมันเงียบ ๆ

 

ไนท์ลีย์เงยมองภาพพลุที่ดูสวยงามกว่าที่เขาเคยจำได้ เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายมาดูพลุแบบนี้เมื่อไร แต่ชั่วนาทีนั้นมันดูจะไม่สำคัญ ในจังหวะที่มีพลุระเบิดออกมากมายบนฟ้า เขาก็หันมามองเธอ

 

หัวใจของเขาเหมือนจะบีบรัด และระเบิดออก

 

 

 

The End.

 

Posted in Writing

[WZD] ความไม่คุ้นชิน

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของpasted image 0.png

 

Pairing: Vasilios Argyris/Sylem Dagile

Rating: PG

 

 

_

 

 

 

ความไม่คุ้นชิน

 

หากนึกย้อนไปตอนนี้ เสี้ยวหนึ่งของวาซิลิออสคิดว่ากับไซเลม ดาไจล์นั้นเป็นความรู้สึกที่ชวนสบายและเป็นมิตรตั้งแต่แรกเห็น และส่วนที่เหลือเป็นเพียงเหตุผลที่เขาสร้างขึ้น โยงใยจนออกมาเป็นรูปร่างในที่สุดว่าทำไมเขาถึงรักคนคนนี้ แต่หากว่ากันตามจริงแล้ว มันก็ซับซ้อนกว่านั้น เวลาที่เขาสังเกตใครในทีแรก สัญชาตญาณที่จะทำเป็นอย่างแรกคือสังเกตภาพที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป—เหมือนกับทุก ๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิต

เขาเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ ไม่ได้คิดจะลงวิชาฝึกบินด้วยไม้กวาดในปีแรกหรือปีที่สอง เขามองว่ามันเป็นอะไรที่เริ่มทำในปีที่สามก็ได้ หลังจากนั้นถึงจะเริ่มใช้มันจริงจังในช่วงที่ทำงานหลังเรียนจบ

ชีวิตนักเรียนช่วงปีหนึ่งและสองของเขาที่ Wizardry Academy… สิ่งที่จำเป็นในการมีชีวิตอยู่นั้น ช่างมีน้อยนิดเหลือเกิน

เหตุผลที่ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ก็น้อยยิ่งกว่า

_

ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เริ่มออกมาเดินเล่นในโรงเรียนยามเช้ามืดของช่วงปีสาม ก็อาจไม่มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ดาไจล์จนกระทั่งเรียนจบไปเลยก็ได้ เขาคิดแบบนั้น

ในเวลาเงียบเหงาที่คาดว่าจะไม่ได้พบใครนั้น อาจารย์ก็ส่งเสียงจากหลังเสาบอกทักอรุณสวัสดิ์ ด้วยเสียงยานคางราวกับวิญญาณหลอน

“อรุณสวัสดิ์ครับ อาจารย์ดาไจล์… ตื่นเช้าจัง”

“นี่ไม่ใช่ดาไจล์ นี่คือเสา… เสาไม่มีวันหลับ”

“ง… งั้นเหรอครับ” วาซิลิออสเอ่ยอย่างเสียมิได้ เสียงอาจารย์ชัด ๆ แต่… เสาก็เสา “แล้วทำไมคุณเสาไม่หลับไม่นอนล่ะครับ หรือว่าแค่ตื่นเช้า”

“เสาเดินมาผิดบ้าน ทางมันมืด ๆ  เสาตาลาย… ที่นี่บ้านอะไร”

เสียงแบบนี้ เมาเหรอ… อาจารย์นี่น้า “บ้านแกะตัวผู้ครับ” วาซิลิออสกระแอม “เอ่อ… ตาลายสินะ คุณเสาเอาน้ำไหม” หลังจากนั้นเขาก็แว่วเสียงพึมพำว่า ‘เดินผิดอีกแล้ว’ ก่อนที่ ‘คุณเสา’ ที่ว่าจะขอน้ำและบอกห้ามไม่ให้บอกใครว่าเจอเสาที่นี่ วาซิลิออสจึงตอบไปว่า “ได้ ไม่บอกใครหรอกคร้าบ ผมไม่ได้สนิทกับใครปานนั้นสักหน่อย” เขายืดเส้นยืดสาย “คุณเสารอตรงนี้ห้ามขยับไปไหนนะครับ เดี๋ยวไม่ได้ดื่มน้ำนะ” เขากล่าวราวกับสอนเด็ก ๆ ก่อนจะผละไปเอาน้ำมาแก้วหนึ่ง เมื่อกลับมาก็ใช้หางของตนวางแก้วนั้นลงบนพื้น หางของเขาเลื่อนแก้วให้อีกฝ่ายแบบไม่ต้องเห็นหน้ากัน

“งั้นว่าง ๆ มานั่งคุยกับเสาไหม เสาว่างมาก ๆ”

“ได้สิครับ ผมก็ว่างมาก ๆ เหมือนกัน” เขาเอนกายพิงเสาแล้วไถร่นกายนั่งลง แล้วถอนหายใจ “เปิดเทอมคนยังย้ายกันมาไม่หมดเลย แต่ก็ชอบอยู่ที่นี่มากกว่าบ้านล่ะ… แล้วคุณเสาว่างแบบนี้ไม่เหงาหรือครับ”

“งี้แหละตอนใกล้เปิดเทอม เดี๋ยวคนก็เยอะ  ‘คุณหาง’ ก็จะไม่เหงาแล้ว เสาเหงามาก แต่นักเรียนเริ่มจะมากันแล้ว คงจะไม่ว่างในเร็ว ๆ นี้… ซึ่งดีแล้ว”

เขาถดหางกลับมาให้พ้นสายตาเมื่อโดนเรียกด้วยชื่อใหม่ จะเรียกว่ากระดากก็คงใช่ ถ้อยประโยคเหล่านั้นชวนให้วาซิลิออสนึกสงสัยว่าเขาดูเหงารึเปล่า สำหรับเขาแล้วการที่ ‘ดูเหมือนเหงา’ กับ ‘รู้สึกเหงา’ นั้นไม่เหมือนกัน แต่เอาเข้าจริงจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญสักเท่าไร ที่น่าสนใจมากกว่าคือ ส่วนหนึ่งเขามองว่าการที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะพูดออกมาอย่างง่ายดายว่าเหงามากนั้นเป็นเรื่องแปลกดี ตามปกติแล้วยามที่คนเราโตขึ้น ก็ยิ่งจะอยู่ในสถานการณ์ที่พูดความรู้สึกตัวเองยากขึ้น และหากจะพูดออกมา ก็จำต้องหาเหตุผลมาชี้แจงว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนั้น มิเช่นนั้นแล้วความรู้สึกทั้งหมดนั่นจะไม่เป็นที่ยอมรับ

เขาคิดว่า โลกที่เขาอยู่เป็นแบบนั้น เขาคิดว่า คุณเสาเป็นคนที่แปลกในโลกของเขา กระนั้น ก็เป็นความแปลกที่ชวนให้รู้สึกเบาตัวลงอย่างประหลาด

_

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เขาก็ออกมาดูดาวกลางดึก และก็เป็นอีกครั้งที่ได้ยินเสียงทักจากเงามืด

“ไม่หลับไม่นอน”

“คุณเสา… หรือครับ”

“คุณหางไม่ยอมนอนอีกแล้วนะครับน่ะ”

เอ๊ะ เสียงวันนี้ไม่ได้เมานี่ วาซิลิออสคิด ในวันนี้อาจารย์ดาไจล์ไม่ได้ยืนอยู่หลังเสา แต่ก็มืดจนยากจะมองเห็นคุณเสาได้ชัด แต่กลายเป็นหวั่นเกรงระคนประหม่าหากอีกฝ่ายจะเห็นเขาเข้าเต็ม ๆ เสียอย่างนั้น พวกเขาคุยกันเรื่อยเปื่อย พูดถึงดวงดาวบ้าง บางอย่างก็ไม่ใช่อะไรที่เขาไม่เคยคุยกับคนอื่นมาก่อน แต่เนื้อหากลับแตกต่างออกไปจากทุกอย่างที่เคยพบมาเสียหมด

มีครั้งหนึ่งที่คุณเสากล่าวกับเขาว่า “การที่เราไม่สบายใจอะไรแล้วบอกออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือหรือไว้ใจ มันเรียกว่าการเปิดใจน่ะ”

วาซิลิออสได้แต่เงียบไป ฟังไปก็อดที่จะเหงื่อตกนิด ๆ ไม่ได้ “การเปิดใจมันน่ากลัวสำหรับคุณหางน่ะ นี่ยอมบอกเพราะว่าเป็นถึงคุณเสาหรอกนะคร้าบ” เขาว่าพลางยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกว่านี่เป็นความลับ “คุณเสาสมัยเป็นนักเรียนเนี่ย… เป็นคนยังไงกันนะครับ หากผมจะขออนุญาตถามล่ะก็”

“ถามได้ ความสงสัยไม่มีความผิด”

การคุยในช่วงเวลาแบบนั้น จะเรียกว่าเริ่มกลายเป็นความเคยชินก็ไม่ใช่ อันที่จริงแล้วทุกอย่างถือว่าตรงข้ามกับความเคยชิน เขาไม่เคยรู้ว่าคำพูดและคำนิยามบางอย่างสามารถได้รับการบรรยายออกมาอย่างง่ายดายในแบบที่คุณเสาทำได้ด้วย

ช่วงเวลาเหล่านั้นอาจเป็นระเบิดเวลา อีกไม่ช้านานอาจารย์ดาไจล์ก็จะรู้ว่าเขาไม่มีความเข้าใจในเรื่องแบบนี้เลย หรือบางทีเขาอาจจะโดนจับได้แล้วก็ได้

เขาไม่รู้ว่าปกติคนเราเปิดใจยังไง

เขาไม่รู้ว่าจะสงสัยอะไรยังไงโดยที่จะไม่ทำพลาด

_

หากถามว่าเริ่มตกหลุมรักเมื่อไร จนถึงบัดนี้วาซิลิออสก็อาจจะยังชี้แจงไม่ได้ (แต่เขาจำได้ว่ารู้ตัวเมื่อไร—วันที่ดูดาวตกด้วยกันนั้น) แต่หากในเรื่องว่าเริ่ม ‘ชอบ’ เมื่อไร เขาพอจะจับจุดได้อยู่ แม้ว่าตอนนั้นจะไม่ได้รู้ตัวเป็นพิเศษ

“อยาก—อยากให้อาจารย์พาบินไปดูดาว” วาซิลิออสทำสัญลักษณ์มือบินขึ้นประกอบ “แลกกับให้สั่งอะไรผมหนึ่งวันประมาณนี้ก็ได้ครับ” จะเรียกว่าต้องใช้ความกล้าในการขอไหม ก็คงใช่ แม้ในตอนนั้นเขาจะไม่ได้คิดอะไรมากความ แต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นการรบกวน อาจถึงขั้นละลาบละล้วง ซึ่งเข้าใจได้หากอาจารย์ดาไจล์จะปฏิเสธ ความคิดของเขาในตอนนั้นก็เพียงแค่อยากจะดูดาวจากบนไม้กวาดอย่างที่อาจารย์ดาไจล์เคยบรรยายให้ฟังสักครั้ง แต่โดยปกติ ร้อยทั้งร้อย ทุกคนย่อมต้องการสิ่งตอบแทน เขาไม่อยากติดค้างอะไร จึงพยายามเสนอให้อีกฝ่ายขออะไรตอบแทน เขาไม่แน่ใจว่าเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเลือกอะไร วาซิลิออสคงเพียงนึกภาพว่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่เขาทำเพื่อเป็นผลประโยชน์ต่ออาจารย์ แล้วก็หายกันไป แค่นั้น

ในตอนแรกอาจารย์ดาไจล์บอกว่านึกไม่ออกนัก และพอวาซิลิออสพยายามย้ำเรื่องที่ว่าต้องมีค่าตอบแทน มิเช่นนั้นแล้วเขาจะรู้สึกค้างคา อาจารย์ก็เสนอมาในที่สุดว่า ให้วาซิลิออสไปทำอาหารให้และนั่งกินด้วยกันก่อนไปเรียนในยามเช้าเวลา 7 นาฬิกาของวันศุกร์วันหนึ่ง โดยย้ำว่าต้องทำมาด้วยตัวเอง เมื่อได้ยินดังนั้น วาซิลิออสก็เริ่มอิดออด อาจารย์ดาไจล์ดูจะมีแววเอ็นดูระคนเจ้าเล่ห์ขึ้นมา แล้วมอบโจทย์เมนูให้เขาด้วย ซึ่งทำให้ทุกอย่างดูยากขึ้นกว่าเดิม เพราะวาซิลิออสทำเป็นแต่เมนูง่าย ๆ เท่านั้นเอง

_

จนถึงตอนนี้ ‘พี่ไซเลม’ ของเขาจะรู้รึยังว่าทำไมตอนนั้นวาซิลิออสถึงไปเผลอชอบเจ้าตัวเข้า

อาจจะเพราะค่าตอบแทนของคำขอแบบเอาแต่ใจของเขา คือช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น และพยายามดึงให้เขาทำอะไรใหม่ ๆ ที่อาจมีประโยชน์ต่อตัวเขาในอนาคตด้วยกระมัง

ไม่สิ แท้จริงแล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องพูดให้สวยหรูแบบนั้น เขาไม่คุ้นชินกับค่าตอบแทนที่ราวกับเป็นการมอบความสุขให้เขาด้วย ก็เท่านั้นเอง

The End.

Posted in Writing

[Christoper/Osbourne] Christmas, 2016

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ
Rating: PG

 

_

 

 

 

[ออสบอร์นเอาของไปวางใต้ต้นคริสต์มาสหลังจากที่รักหลับไปแล้ว เป็นซองจดหมายสีชมพูอ่อนจางแนบอยู่พร้อมกับแผ่นซีดีแผ่นหนึ่ง แผ่นซีดีอยู่ในกล่องใส่ซีดีบางใสธรรมดา

 

ทั้งบนซองจดหมายและบนหน้าซีดีเขียนไว้ว่า

 

‘For Chris

Christmas, 2016

From Santa’

 

ในซองสีชมพูเป็นจดหมาย กระดาษขาว เขียนด้วยลายมือที่ออกหวัดแต่ก็ดูจะพยายามเขียนให้เป็นระเบียบ]

 

 

 

หมายเหตุ: พยายามอย่าอ่านจดหมายฉบับนี้ต่อหน้าผมเลยนะครับ (ผมเขินน่ะครับ)

 

คริส ที่รัก

 

สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ ขอให้มีความสุขมาก ๆ  สุขภาพแข็งแรงครับ อาจจะแปลกอยู่สักหน่อยที่อยู่บ้านเดียวกันแล้วยังตัดสินใจเขียนจดหมายให้ แต่คิดว่าอย่างน้อยที่รักก็จะได้มีอะไรเป็นที่ระลึกอ่านได้ ถึงอย่างนั้น สมัยนี้อาจจะเชยเกินไปแล้วรึเปล่านะครับ ที่รักจะชอบ e-card มากกว่าไหมนะครับ ในเมื่อสามารถเปิดดูโดยไม่ต้องยึดกับตัวกระดาษ กระทั่งซีดีก็อาจจะดูเชยเกินไปหน่อย… คิดแบบนั้นแล้วเวลาก็ผ่านไปเร็วเอามาก ๆ เลยล่ะครับ สมัยเด็กผมยังไม่มีเครื่อง VCD เลย

 

ตอนแรกว่าจะถักอะไรให้ แต่ก็อยากให้อะไรที่ต่างออกไปจากเดิมสักหน่อยน่ะครับ ระหว่างที่เขียนอยู่นี่ก็เพิ่งมาคิดเอาตอนนี้ว่า น่าจะให้อะไรที่เป็นประโยชน์กว่านี้ ถึงอย่างนั้นผมก็หวังว่าที่รักจะชอบของขวัญชิ้นนี้นะครับ

 

เขียนเป็นจดหมายก็อยากจะพยายามเล่าอะไรที่สวยงามให้คุณฟังนะครับ ทุกวันนี้ผมพยายามจะตื่นนอนเวลาเดิมหรือใกล้เคียงกับเวลาเดิมหน่อย บางวันก็อาจได้ตื่นมาชงชาให้ที่รักบ้าง แต่บางวันก็เผลอตื่นเลยเวลาที่คุณไปทำงานแล้ว (พยายามไม่ลืมที่จะซื้อชาพีชมา พวกชาผลไม้สดชื่นดีนี่นะครับ ช่วงนี้ที่รักชอบชาแบบไหนอีกรึเปล่าครับ เขียนไว้ใน post-it note แปะทิ้งไว้บนโต๊ะในห้องครัวได้นะครับ) แต่ทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าจะตื่นมาด้วยความรู้สึกสงบล่ะครับ แล้วก็หลับค่อนข้างสนิท อาจยังคงมีอยู่บ้างที่ผมหลับไม่สนิท แต่นั่นคงเป็นที่ผมเองที่เป็นแบบนั้นมายาวนาน แต่ปกติถ้าสะลึมสะลือแล้วรู้สึกถึงตัวตนที่รักอยู่กลางดึกก็กลับไปหลับได้โดยง่าย ส่วนตอนตื่น—ผมจำได้ว่าที่รักเคยพูดถึงกลิ่นของผม ผมเองก็คิดว่าที่รักเองก็มีกลิ่นเฉพาะตัวเหมือนกัน อาจจะไม่เหมือนอะไรที่ผมคุ้นเคยในวัยเด็กเลย แต่ก็คงต้องเป็นกลิ่นที่ผมได้เรียนรู้ที่จะคุ้นเคยและรู้สึกปลอดภัยด้วยแน่ ๆ  พอผมเข้าครัวไปชงกาแฟให้ตัวเอง แล้วเริ่มตาสว่างขึ้นอย่างเชื่องช้า ก็ค่อย ๆ ตระหนักว่ากำลังเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้ ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ผมปั่นจักรยานออกไปบ้าง แต่ข้างนอกค่อนข้างวุ่นวาย ก็เลยพยายามรีบกลับ เวลาที่ปั่นจักรยาน ผมมักจะไม่ได้เห็นทั้งอาทิตย์ขึ้นหรืออาทิตย์ตกดิน มาถึงบ้านก็มีแสงไฟนีออน ถึงห้องนอนถ้ามองหน้าต่างบนเพดานก็ได้เห็นแสงดาวหรือแสงจันทร์ ถ้ามีที่รักอยู่ด้วยก็มีแสงสว่างเหมือนอยู่กลางทุ่งหญ้า ทั้งวันผมก็เลยไม่ได้อยู่กับความมืด ทุกวันนี้ผมอาจจะไม่ได้เสี่ยงชีวิตแบบเก่า แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยผมก็คงพอทำอะไรที่เปลี่ยนอะไรบ้างในโลกอันกว้างใหญ่นี้ บางทีอาจสร้างโลกที่สวยงามเล็ก ๆ ให้ที่รักได้ด้วย บางครั้งที่ออกไปข้างนอกก็เห็นเหล่าผู้คนไม่มีบ้านบ้าง ก็คิดขึ้นมาว่า ตลอดมาผมโชคดีเพียงพอที่มีที่อยู่อาศัยตลอด แม้จะเคยมีประสบการณ์ต้องตากอากาศหนาวอยู่ข้างนอกโดยไม่มีที่นอนมาก่อน ผมไม่มีวันเหล่านั้นอีกแล้ว ไม่มีกระทั่งวันที่ลืมเปิดฮีทเตอร์ปล่อยให้ตัวเองนอนหนาวโดยไม่สนใจอะไร ผมคิดว่า ที่ผมไม่ได้อยู่กับความมืดอีกแล้ว ก็คงเพราะที่รักพยายามปกป้องผมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ผมรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

 

ที่จริงส่วนหนึ่งของผมอาจจะตายไปแล้วในวันนันเมื่อนานมาแล้ว และที่รักก็ทำให้ผมฟื้นขึ้น สร้างวัยเด็กให้ผมใหม่ ทั้งที่ผมก็ไม่ใช่ทั้งเด็กดี และก็ไม่ใช่ทั้งคนดี (ผมพูดตามที่ใจจริงของผมคิดนะครับ) แต่ว่า… ผมก็สามารถพยายามเป็นเด็กดี ผม [ขีดฆ่าอะไรสักอย่างคล้ายลังเลเปลี่ยนใจสิ่งที่จะพูด] คิดว่าผมเองก็มีส่วนจริง ๆ ที่ทำให้คุณพ่อและคุณแม่เลิกรักผม และผมก็คงทำลายบางอย่างในตัวพวกท่านไปแล้ว ผมไม่อยากให้ส่วนใดของจิตวิญญาณของที่รักถูกทำลายลง ปรารถนาให้ที่รักรู้สึกปลอดภัยที่ได้รักคนคนนี้ ที่จริงแล้วที่รักเป็นเด็กดีมาตลอด เพราะแบบนั้นคุณซานต้าถึงขอให้ผมช่วยทำของขวัญให้ ที่รักเป็นตัวอย่างเด็กดีของผม ที่รักเป็นตัวอย่างความรักของผม ต่อให้เห็นในทีวีบ่อยแค่ไหน ผมไม่รู้โดยแท้จริงว่า ปกติแล้ว พ่อแม่ให้ความรักกับลูกแบบไหน ผมเคยมีความทรงจำดี ๆ ในวัยเด็กบ้างก็จริง แต่ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว ผมมองที่รัก แล้วก็คิดว่า ป๊ะป๋าคงมอบความรักแบบนี้

 

เพราะฉะนั้น ผมก็อยากจะเป็นคุณแม่ที่ดีให้คุณได้—โดยไม่ได้ตั้งใจจะคิดทดแทนคุณแม่ที่แท้จริงของคุณแต่อย่างใด ผมเพียงแต่ต้องการที่จะสามารถอยู่เคียงข้างคุณในแบบนั้น คิดว่า บางส่วน บางอย่างในตัวผม อาจสามารถเป็นผู้ดูแลและผู้พิทักษ์ของคนที่ผมรักได้บ้างเหมือนกัน ปีที่ผ่านมานี้ผมปล่อยให้ตัวเองทำตัวเป็นเด็กเล็ก ๆ ต่อหน้าคุณ ซึ่งแม้กระทั่งหลังจากพวกเราตกลงเป็นคนรักกันแล้ว ผมเองก็ใช้เวลานานนักจึงจะวางใจปล่อยให้ตัวเองทำตัวเช่นนั้น ผมคิดว่า คงไม่แปลก หากที่รักจะใช้เวลาเช่นกันในการจะวางใจผมไม่ว่าในแบบไหนก็ตาม ถึงอย่างนั้น ผมก็หวังว่าผมคงสามารถทำให้คุณรู้สึกเหมือนโดนอุ้มแล้วจะไม่โดนปล่อยให้ร่วงลงได้

 

ให้เกียรติผมโอบอุ้มคุณไว้นะครับ ในเมื่อคุณเป็นหมอ อาจจะไม่มีเวลามาอยู่กับผมในวันนี้ก็ได้ แต่คุณซานต้าคงให้พรคุณอยู่แน่ ๆ

 

รักครับ

เรจินัลด์

 

ปล. ฟังซีดีแล้ว อย่าหัวเราะต่อหน้าผมนะครับ (ฮือ)

 

[ในซีดีมีเพลง The Way You Look Tonight กับ L-O-V-E ของแฟรงค์ ซินาต้า ร้องด้วยเสียงของออสบอร์น ถึงเนื้อเสียงจะไม่มีพลังนักแต่ก็ร้องได้ถูกคีย์และอัดเข้ากับทำนองได้ดี]

 

 

 

The End.

 

ทิ้งท้าย:

OLYMPUS DIGITAL CAMERA
เขาซื้อกาแฟจากเมื่อวันก่อนคริสต์มาสอีฟ แล้วได้คุกกี้คุณขนมปังขิงมาด้วย สุดท้ายก็เลยเดินไปซื้อคุกกี้ขนมปังขิงเพิ่มมา เอามาใส่กระปุกทิ้งไว้ที่โต๊ะอาหาร
Posted in Prompt

[RDU – Wilfred Elliot] คำถามต่อออริจันัลคาร์แรคเตอร์แบบละเอียดสุด ๆ

Credit: Tag

Note: วิลเฟรดเป็นตัวละครที่ได้นำไปเล่นในคอมมู Rabbit Doubt

 

 

 

  1. ชื่อเต็มของออริคืออะไร? ทำไมถึงเลือกชื่อนี้ มีความหมายอะไรไหม?

Wilfred Elliot (วิลเฟรด เอลเลียต)

เรารู้ว่าเราอยากสร้างตลค.ไอริช แต่เราอยากให้ตระกูลของเอลเลียตมีเชื้อสาย Anglo-Saxon ที่มาอยู่ที่ไอร์แลนด์ และมีความเป็นบริติช ก็เลยไม่ได้คิดจะตั้งชื่อไอริชเป็นพิเศษ

ปกติเลือกชื่อลูกในคอมมูค่อนข้างจะมีเหตุผลเป็นความชอบส่วนตัวมากกว่าจะคิดจริงจังมาก วิลเฟรดเป็นชื่อตัวละครปู่แก่ ๆ คนหนึ่งจาก Doctor Who ชื่อนี้อยู่ในหัวเรามาพักหนึ่งแล้ว จำเป็นพิเศษเพราะ David Tennant (คนแสดงเป็น 10th Doctor ที่ออกฉากกับตลค.ปู่วิลเฟรดนี้) ไปแต่งงานแล้วก็ตั้งชื่อลูกว่าวิลเฟรด ซึ่งไม่แน่ใจเดวิดว่าจงใจหรือไม่ แต่ปู่วิลเฟรดเป็นตัวละครที่น่ารัก เราชอบ

เลือกชื่อเอลเลียตเพราะเป็นชื่อที่เพราะดี ถูกใจ

สุดท้ายพบว่าชื่อ Wilfred มาจาก Old English ที่แปลว่า “will” กับ “peace” สรุปคือ desiring peace (ปรารถนาความสงบ) ซึ่งก็เหมาะกับคาร์วิลเฟรดจนน่ากลัว… ส่วนเอลเลียตก็แปลว่า องค์พระเจ้าสูงสุด, พระยะโฮวาห์คือพระเจ้า

 

  1. มีคำนำหน้าชื่อหรือยศอะไรไหม? ทำไมถึงได้มี?

‘นาย’ ตามธรรมดา

 

  1. ออริมีวัยเด็กที่ดีไหม? ความทรงจำดีๆ ในวัยเด็กคืออะไร? แล้วอะไรคือความทรงจำที่เลวร้าย?

เรามองว่าวัยเด็กของวิลเฟรดไม่ถึงกับเลวร้าย แต่จากการเลี้ยงดูแล้วมีส่วนทำให้วิลเฟรดไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์แง่บวกกับสิ่งมีชีวิตเท่าไร เพราะส่วนใหญ่อยู่คนเดียว และไม่มีพี่เลี้ยงที่คุ้นเคยเป็นพิเศษ (ทั้งที่มีหลายคน พี่เลี้ยงเปลี่ยนกะดูแลไปเรื่อย ๆ  พ่อแม่ไม่ให้คุยกับวิลเฟรดมาก เพราะกลัวลูกจะไปติดผู้ใหญ่ที่เป็นคนนอกมากเกินไป)

ความทรงจำดี ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลาที่ได้คุยกับพี่สาว กับตอนที่ได้เริ่มเล่นกับเพื่อนข้างบ้านคนหนึ่ง (ผู้หญิง… เหมือนจะไม่เคยบอกชื่อในโรลหรือประวัติเลยรึเปล่านะ ชื่อเคทลิน [Caitlin]) ตอนรู้จักกับเคทลินน่าจะอายุราว ๆ ห้าหกขวบ ซึ่งเป็นเพื่อนคนเดียวตลอดวัยเด็ก (ไม่ได้เปิดรับเพื่อนคนอื่นเพราะเห็นว่าไม่จำเป็น บวกกับไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นก็เลยไม่เปิดใจ ปฏิสัมพันธ์ไม่เก่งด้วยล่ะ) ที่พิเศษมากคือตอนที่นาน ๆ ครั้งจะได้ไปเที่ยวไร่สตรอเบอร์รี่ของที่บ้านกับเคทลิน แล้วก็มีคุณป้าที่ไร่จะเอาสตรอเบอร์รี่มาใส่ขวดโหลให้ทานเยอะแยะเลย นอกนั้นคือชอบวิ่งเล่นบนทุ่งมาก (เคยวิ่งเล่นเฉพาะกับเคทลินไม่ก็วิ่งคนเดียว)

ไม่ค่อยมีอะไรที่ตัวเองมองว่าเลวร้าย แต่เป็นเด็กอ่อนไหวที่น้ำตาซึมง่าย จำได้ว่าต้องฝืนนิดหน่อยจากการจะถูกสอนให้ควบคุมอารมณ์ตัวเองประจำ ไม่ให้กินมากไป เดี๋ยวอ้วน (สมัยก่อนชอบของหวาน ฟาสต์ฟู้ดและน้ำอัดลมมาก) ต้องอยู่นิ่ง ๆ อะไรแบบนั้น จะถูกสอนเกี่ยวกับการควบคุมในตัวเองซะส่วนใหญ่

 

  1. มีความสัมพันธ์ยังไงกับพ่อแม่? อะไรคือความทรงจำดีๆ และไม่ดีกับพ่อแม่? ออริรู้จักพ่อแม่ของตัวเองทั้งคู่ไหม

ความทรงจำดี ๆ คือตอนได้ของขวัญโน่นนี่ กับมีพ่อแม่พาไปดูหนังบ้าง

ความทรงจำไม่ดีส่วนใหญ่จะเป็นช่วงที่เริ่มเก็บตัวอยู่บ้านกับตอนที่เป็น eating disorders (เป็นสองอย่างคือ anorexia nervosa กับ bulimia nervosa) ตอนพ่อแม่เคยพยายามบังคับให้ออกไปข้างนอก จนเป็น panic attack

ความทรงจำไม่ดีส่วนใหญ่จะเป็นประมาณว่า ตอนนั้นคือรู้ว่าที่บ้านให้ความใส่ใจ แต่สิ่งที่ต้องการและไม่ต้องการมันดูขัดแย้งไปหมด มีครั้งหนึ่งที่นอนหมดแรงอยู่ พ่อมาขอร้องให้ทานอาหาร แต่ตัวเองก็ปฏิเสธ รู้สึกผิดที่ท่านไม่ลง แต่ถ้าทานก็จะรู้สึกผิดเพราะขยะแขยงตัวเอง

รู้จักพ่อแม่ตัวเองทั้งคู่นะ รู้ว่าเป็นคนเก่งแต่ยุ่งมาก

 

  1. ออริมีพี่น้องไหม? ชื่ออะไร? มีความสัมพันธ์กันยังไง? ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องตั้งแต่เด็กจนโตเปลี่ยนแปลงไปไหม

มีพี่สาวชื่เอลิซาเบธ วิลเฟรดเรียกว่าพี่ลิซซี่ มีความสัมพันธ์แบบไม่ห่างเหินแต่ไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันบ่อย เวลาคุยกับลิซซี่วิลเฟรดจะรู้สึกเหมือนคุยภาษาเดียวกัน แต่ไม่แตะตัวกันเท่าไร ไม่เคยกอด ไม่เคยหอม

ความสัมพันธ์ตั้งแต่เด็กจนโตไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก คือในหมู่คนที่บ้าน วิลเฟรดได้คุยกับลิซซี่บ่อยที่สุด สำหรับการเก็บตัวและเรื่อง ED ลิซซี่เป็นคนที่เข้าใจดีที่สุดในบ้าน แต่ยังไงก็ไม่ค่อยได้ใช้เวลาด้วยกันเท่าไร

 

  1. ออริเป็นยังไงตอนอยู่ที่โรงเรียน? สนุกกับชีวิตในโรงเรียนไหม? เรียนจบไหม? เรียนถึงระดับไหน? ชอบเรียนวิชาอะไร? ไม่ชอบวิชาอะไร?

เงียบตอนอยู่โรงเรียน ไม่ได้สนุกเท่าไร ใช้เวลากับเคทลินก็ไม่ได้สะดวกขนาดนั้น คิดว่าเป็นสถานที่ที่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นเยอะเกินไป

เริ่มเรียน home school ตั้งแต่สมัยม.ต้น เรียนมหาลัยไม่จบ (ยังอยู่ระหว่างการเรียน distance learning courses กับมหาลัยนอกไอร์แลนด์ตอนที่ไปมีตติ้ง) อนึ่งตายก่อนเรียนจบ

ชอบวิชาประเภท visual arts โดยเฉพาะ painting และไม่มีวิชาที่ไม่ชอบ

 

  1. ตอนเด็กมีเพื่อนเยอะไหม? แล้วมีเพื่อนที่คบกันตั้งแต่เด็กจนโตไหม?

มีแค่เคทลินคนเดียว คบกันจนกระทั่งเคทลินหายสาบสูญไปช่วงมัธยมต้น

 

  1. ตอนเด็กเคยเลี้ยงสัตว์ไหม? ตอนโตเลี้ยงไหม? ชอบสัตว์รึเปล่า?

ไม่เคย ตอนโตก็ไม่เลี้ยง ไม่มีความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบสัตว์เป็นพิเศษ

 

  1. สัตว์เชื่องกับออริไหม? ออริเข้ากับสัตว์ได้ดีไหม?

ไม่ได้ยุ่งกับสัตว์เพียงพอจนไม่รู้ ก็ทั่ว ๆ ไป ขึ้นอยู่กับสัตว์ด้วยว่าเชื่องกับคนทั่วไปไหม

 

  1. ออริชอบเด็กไหม? เด็กชอบออริไหม? ออริมีลูกหรืออยากมีลูกไหม? ออริจะเป็นพ่อแม่แบบไหน? หรือเป็นพ่อแม่อุปถัมป์/พี่เลี้ยงเด็ก/อื่นๆ แบบไหน?

วิลเฟรดชอบเด็ก แต่ไม่ค่อยได้ยุ่งกับเด็ก ๆ เท่าไร

เท่าที่เคยคุย เด็กก็ดูโอเคกับวิลเฟรดถึงจะไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ

อยากมีลูก เป็นคนประเภทที่ชอบ the idea of having a child แต่ว่าไม่มีแผนเรื่องแต่งงานเลย ไม่ได้คิดเรื่องมีแฟนด้วย ชอบแต่จุดหมายปลายทางเรื่องการมีลูก แต่จากการป่วย ED ทำให้มีผลกระทบเรื่องเป็นหมัน คือก็คงมีลูกที่เป็นสายเลือดตัวเองไม่ได้ ถ้ามีความกล้าพอคงจะอุปถัมภ์ แต่ไม่มีน่ะ

ถ้าได้เป็นพ่อคนคงไม่มีลักษณะความเป็นพ่อ (ตามความคาดหวังของสังคม) แบบเป็นธรรมชาติเท่าไร แต่คงจะพยายามกอดลูกบ่อย ๆ และไม่ตีลูกเลย อะไรนะเผลอตีหมาแดงประจำเหรอ

 

  1. ออริมีความต้องการทางอาหารเป็นพิเศษไหม? เป็นคนไม่กินเนื้อสัตว์รึเปล่า? เป็นมังสวิรัติ? แพ้อะไรไหม?

ที่จริงเมื่อก่อนชอบขนมหวาน ฟาสต์ฟู้ดและน้ำอัดลม /รีรัน พอเป็น eating disorders ก็แทบไม่แตะอะไรพวกนั้นเลยกระทั่งพยายามหายจาก ED นี่แหละ ช่วงที่ไปมีตติ้งก่อนหลุดเข้าเกมก็นับว่าอาการดีแล้ว BMI ปกติ อาการคง ๆ  ไม่ถึงกับ relapse จนมีผลกระทบกับชีวิตประจำวันมากจนเกินไป แต่จะไม่กินอะไรที่ตัวเองกะปริมาณแคลอรีไม่ได้ เลยไม่กินอาหารที่คนอื่นทำ (แต่ที่เป็นฟู้ดเชนอย่างแม็คโดนัลด์หรือสตาร์บั๊คส์ ถ้าเป็นเมนูที่จำได้ว่าแคลอรีเท่าไรก็จะกิน)

นอกนั้นคือไม่ค่อยชอบอาหารที่มาปนกันหรืออยู่ผิดที่ผิดทางน่ะ เฟรนช์ฟรายก็ควรอยู่ส่วนเฟรนช์ฟรายอะไรแบบนั้น หรือไม่ชอบให้อาหารในจานปนกัน

ไม่แพ้อาหารอะไรเลย

 

  1. ชอบอาหารอะไร?

สตรอเบอร์รี่ ไดเอทโค้ก เอ้กน็อค

 

  1. ชอบอาหารอะไรน้อยที่สุด?

เบเกิล

 

  1. มีความทรงจำเฉพาะกับอาหาร/ร้านอาหาร/มื้ออาหารอะไรไหม?
  • ไปมีตติ้งเจอคนในเน็ต ทุกอย่างดูราบรื่นจนเฟรนช์ฟรายหกเลยไม่ค่อยสงบ
  • มื้อแรกที่กินคนเดียวในห้องเสบียงในเกม เหมือนจะรู้สึกสงบดี
  • มีช่วงที่กำลังพยายามจะหายจาก ED แล้วออกไปกินข้าวกับครอบครัว ตอนนั้นมีญาติไปด้วย ก่อนไปดูเมนูของทางร้านไปเรียบร้อยแล้ว คิดเมนูล่วงหน้าไปสามอย่าง ดีที่ทางร้านมีเสิร์ฟให้ตามแผน A
  • มื้อที่ยอมกินเบเกิลครั้งแรกหลังจากไม่ได้กินมานาน
  • มื้อที่หลุดร้องไห้แล้วไม่ยอมกินที่สถานบำบัด หลังจากยอมอดทนกินตามที่เขากำหนดมานานมาก สะสมคะแนนที่สถานบำบัดจนจะได้ออกไปเจอพี่สาวเป็นรางวัลอยู่แล้ว
  • กินพิซซ่าครั้งแรกหลังจากไม่ได้กินมานาน
  • พวกวันที่ตบะแตกกินเกินสามพันแคลอรี
  • ในทุก ๆ วันจะจำทุกอย่างที่กินเมื่อวานได้

 

  1. ทำอาหารเก่งไหม? สนุกกับการทำอาหารไหม? คนอื่นคิดว่าการทำอาหารของออริเป็นยังไง?

เก่งนะ และสนุกกับการทำอาหารในระดับหนึ่ง

คนอื่นที่เคยทานก็รู้ว่าวิลเฟรดฝีมือดี เมื่อก่อนคนอื่นจะไม่ได้สังเกตว่าวิลเฟรดทำยุ่ง ๆ ในครัว เสิร์ฟโน่นนี่แต่ไม่ค่อยกินให้เห็น

 

  1. ออริสะสมอะไรไหม? แล้วทำอะไรกับของสะสมนั้นบ้าง? เก็บของสะสมไว้ที่ไหน?

พวกรูปภาพ ผลงานศิลปะต่าง ๆ

 

  1. ชอบถ่ายรูปไหม? ชอบถ่ายรูปอะไร? เซลฟี่ไหม? แล้วทำอะไรกับรูปที่ถ่ายมา?

ชอบในระดับหนึ่ง เคยถ่ายอะไรเป็นการอ้างอิงในการวาดรูปเหมือนกัน

ที่จริงเคยมีช่วงที่ถ่ายรูปตัวเองทุกวันตอนใส่แต่ชั้นใน เอามาเทียบดูว่าผอมลงไหม

 

  1. ออริชอบของประเภทอะไรบ้าง : หนังสือ เพลง รายการทีวี ภาพยนตร์ วีดีโอเกม หรืออื่นๆ

งงคำถามนี้นิดหน่อยเลยไปดูภาษาอังกฤษ What’s their favourite genre ของสิ่งเหล่านี้สินะ

ชอบหนังสือแนวนิทาน เทพนิยาย แฟนตาซี

ชอบเพลงคลาสสิค

ไม่ชอบดูรายการทีวี

ไม่ค่อยเล่นวีดีโอเกม ที่ใช้อินเตอร์เน็ตเน้นเล่นเว็บบอร์ดน่ะ

 

  1. ประเภทของที่ออริที่ชอบน้อยที่สุด

Least favourite genres ก็พวกรายการทีวีประเภทแข่งกินกับเรื่องเล่าแนว horror

 

  1. ชอบดนตรีไหม? ปกติฟังเพลงรึเปล่า? ออริจะทำอะไรเมื่อได้ยินเพลงที่ชอบ?

ชอบ ปกติฟังทุกวัน ชอบเพลงของโชแปง ชอบเสียงเปียโน ชอบใส่หูฟังขณะอยู่ข้างนอก ได้ยินเพลงที่ชอบก็แค่ฟังเงียบ ๆ

 

  1. เป็นคนอารมณ์ยังไง? อดทนอดกลั้นได้ไหม? เวลาโกรธจะเป็นยังไง?

อารมณ์ชา ๆ  รับรู้ช้า เจาะจงความรู้สึกไม่ถูกว่ามันคืออะไร รู้ตัวอีกทีไม่ค่อยรู้สึกถึงอะไรได้เป็นพิเศษ รู้สึกเบื่อตลอดเวลา เหมือนว่าในอกว่างเปล่า แต่หลังตายแล้วรู้สึกสงบขึ้น อุ่นบ้าง แต่ก็ยังมีชา ๆ บ้าง

เวลาโกรธแบบระเบิดอารมณ์จะทำลายข้าวของ

 

  1. คำพูดหยาบคายต่อว่าคนอื่นที่ชอบใช้คือ? ทำตัวหยาบคายกับคนอื่นเพื่ออะไร? หรือชอบบ่นลับหลังคนอื่น?

วิลไม่ชอบใช้คำหยาบต่อว่าคนอื่นแฮะ มากสุดอาจจะใช้ freaking ที่ซอฟต์กว่าคำว่า fucking แทรกในประโยค ไม่ค่อยมีแรงผลักในการทำหยาบคายกับคนอื่นเว้นแต่จะระบายความโกรธส่วนตัว ถ้าใช้ส่วนใหญ่ใช้ตอนอยู่คนเดียวและด่าตัวเอง วิลพูดคนเดียวบ่อย แต่ไม่ค่อยบ่นอะไรกับใคร

 

  1. ความจำดีไหม? เป็นพวกจำได้แปปเดียวหรือจะได้นาน? เป็นคนจำชื่อคนหรือหน้าคนเก่งไหม?

ตั้งแต่ป่วย ED แล้วความทรงจำไม่ดีเท่าไรหรอก

จำชื่อคนเก่ง ในเน็ตจะชอบสังเกตชื่อ username คนอื่น แต่จำหน้าคนไม่เก่ง

 

  1. นอนท่าไหน? กรนไหม? ชอบนอนบนอะไร? ที่นอนนุ่มๆ หรือแข็งๆ?

นอนหงาย ไม่กรน ชอบที่นอนแข็ง

 

  1. รู้สึกว่าอะไรตลก? มีอารมณ์ขันไหม? เป็นคนตลกรึเปล่า?

รู้สึกว่าฮานส์ตลก

วิลเฟรดเป็นคนมีอารมณ์ขันแบบถ้าคนเล่นมุกก็คงขำแหละ แต่ไม่ใช่คนตลก

ในเกมรู้สึกเหมือนชาร์ล็อตกับวาเลนเล่นมุกอะไรสักอย่างกับตัวเอง แต่ไม่แน่ใจ (….)

 

  1. ถ้ามีความสุขจะแสดงออกยังไง? ร้องเพลง? เต้น? ฮัมเพลง? หรือเก็บซ่อนอารมณ์?

คงจะยิ้มอ่อนโยนออกมา ไม่ร้องเพลงหรือเต้น ไม่อยากร้องเพราะ range เสียงเคยพังเพราะ ED เลยหมดความมั่นใจไป ไม่อยากเต้นเพราะรู้สึกไม่ค่อยโอเคกับร่างกายตัวเองเท่าไร ไม่ได้ตั้งใจจะเก็บซ่อนอารมณ์ แต่เหมือนลืมวิธีแสดงออกแบบเป็นธรรมชาติไปแล้ว

 

  1. อะไรทำให้ออริเศร้า? ปกติจะร้องไห้ไหม? ถ้าร้องจะร้องออกมาเลยหรือแอบไปร้องคนเดียว? เวลาเศร้าจะแสดงท่าทางยังไง?

หลัก ๆ เป็นความรู้สึกผิดพลาดที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ และการสูญเสียหรือการหาคำตอบของความรู้สึกสูญเสียนั้นไม่เจอ ปัจจุบันในฐานะคนที่ตายไปแล้ว คงเศร้าที่ไม่สามารถสานสัมพันธ์กับคนสำคัญในฐานะคนที่มีชีวิตอยู่ได้น่ะ

ปกติไม่ร้องไห้ ชอบแอบไปร้องไห้คนเดียวมากกว่า ถ้าคนอื่นจะเห็นคือทนไม่ไหวจริง ๆ

มาถึงตอนนี้เวลาเศร้าจะร้องไห้ไม่ออกแล้ว แต่อาจจะมีแววตาเศร้าหรือน้ำตาเอ่อคลอถ้าเต็มตื้นจริง ๆ

 

  1. ออริกลัวอะไรที่สุด? สิ่งทั่วไปอะไรที่ทำให้ออริกลัว? ตอนกลัวจะเป็นยังไง?

เข้าใจว่าวิลเฟรดกลัวไอเดียของการถูกคนที่น่าจะไว้ใจได้ทำร้าย กลัวคนแปลกหน้า อย่างที่เคยพูดครั้งหนึ่งในโรลมีตติ้งว่าสมัยเด็กกลัวซานต้าคลอส สงสัยว่าคุณซานต้ามองอยู่ตลอดทั้งปีเลยเหรอ แล้วทำไมเข้ามาในบ้าน ทำไมไม่ได้ยินเสียงคุณซานต้าตอนเอาของขวัญมาให้ และเดาออกว่าชอบอะไร

ในเกมเหมือนจะรู้สึกกลัวแค่สามครั้งมั้ง ครึ่งแรกตอนตื่นขึ้นมาแล้วได้รับการ์ดหมอ ครั้งที่สองตอนเอเดนคว้าข้อมือ ครั้งที่สามตอนออซจะฆ่า

ตอนกลัวก็พยายามอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ  จะโดนทำอะไรก็พยายามอยู่เฉย ๆ ให้มันจบ ๆ  เจ้าตัวคิดแบบนั้น

อ้อ แมลงสาบก็กลัว

 

  1. ออริจะทำอะไรถ้ารู้ว่าคนอื่นกลัวอะไร? จะแกล้งเขาไหม? หรือว่าจะปกป้องจนมากเกินไป?

ไม่แกล้ง แต่ก็จะไม่ปกป้องเพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองสามารถปกป้องได้ อย่างมากคือพยายามปลอบโยน

 

  1. ออกกำลังกายไหม? ออกกำกายเป็นเป็นปกติเลยรึเปล่า? หรือออกกำลังเมื่อถูกบังคับ? แสดงท่าทางยังไงตอนก่อนและหลังออกกำลังกาย?

ที่จริงสมัยเด็กไม่ค่อยออกกำลังกาย พอป่วย ED ก็ออกกำลังกายมากเกินไป ปีที่ไปติดอยู่ในเกมนั่นเป็นช่วงเว้นออกกำลังกายเพราะเกรงจะไป trigger แล้ว relapse ไปออกกำลังกายมากเกินไป ท่าตอนก่อนออกกำลังกายก็หน้าตายปกติแหละ หลังออกกำลังกายก็จะไอถี่หน่อย

 

  1. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไหม? เวลาเมาเป็นยังไง? ตอนเมาค้างเป็นยังไง? ทำยังไงถ้าคนอื่นเมาหรือเมาค้าง? จะช่วยหรือแกล้ง?

ไม่เคยดื่ม ไม่เคยเมา ถ้าคนอื่นเมาจะไม่ยุ่ง ถ้าคนอื่นเมาค้างอาจจะไปหาเครื่องดื่มที่ช่วยอาการเมาค้างมาให้

 

  1. แต่งตัวยังไง? ซื้อเสื้อผ้าจากร้านแบบไหน? แต่งตัวแบบที่ตัวเองชอบรึเปล่า? ใส่อะไรนอน? แต่งหน้าไหม? ทำผมทรงอะไร?

สีดำเรียบ ๆ  อะไรก็ได้ที่ทำให้ดูผอมที่สุด ไม่ได้แต่งแบบที่ชอบแล้วล่ะ ที่จริงชอบสีส้มน่ะ

 

  1. ใส่ชุดชั้นในแบบไหน? บอกเซอร์หรือบรีฟ ชุดชั้นในแบบวัยรุ่นหรือแบบคุณยายใส่?

มีทั้งบ็อกเซอร์และบรีฟ มีแต่สีขาวกับเทา

 

  1. รูปร่างเป็นยังไง? สูงเท่าไหร่? ชอบรูปร่างของตัวเองไหม?

รูปร่างสูง BMI ต่ำสุดอยู่ที่ 13.9 สูงสุดก็ 22.1 ตอนเข้าเกมนี่แล

 

  1. เคยทำอะไรที่รู้สึกผิดไหม? แล้วทำยังไงถึงจะหายจากความรู้สึกผิดนั้น?

ที่จริงอยู่กับความรู้สึกผิดอยู่ตลอด ตอนกินอะไรจะมีความรู้สึกผิดในหัว รู้สึกผิดทั้งเรื่องที่ตัดสินใจจะตาย ทั้งที่ไม่ได้แสดงความคิดตัวเองที่มีต่อคนที่สำคัญตอนยังมีชีวิตอยู่ ทั้งรีเควสต์ที่เคยไปขอกับคนอื่นในเกม ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ล้มเลิกที่จะทำให้ตัวเองหายจากความรู้สึกนั้นแล้ว ในฐานะวิญญาณก็ทำอะไรเท่าที่ตัวเองทำได้นั่นล่ะ แต่ถ้าจะทำอะไรก็เพราะมีห่วงมากกว่า ไม่ได้พยายามจะทำให้ตัวเองหายรู้สึกผิด

 

  1. ออริทำอะไรได้ดีบ้าง? มีงานอดิเรกอะไร? ร้องเพลงได้ไหม?

วิลเฟรดเก่งวาดรูปมาก ได้เงินจากคอมมิชชั่นพอสมควร ร้องเพลงได้ เมื่อก่อนเคยร้องได้ดีมากแต่ตอนเสียงเริ่มพังไปเพราะ ED  หลังจากนั้นก็ไม่อยากร้องอีกเท่าไร

 

  1. ออริชอบอ่านหนังสือแบบไหน? อ่านเร็วหรืออ่านช้า? ชอบบทกวี นวนิยาย หรือสารคดี?

ชอบอ่านอะไรไปทั่วล่ะ ที่ชอบเป็นพิเศษคงประวัติศาสตร์ศิลปะ

อ่านช้า

 

  1. อะไรที่จะทำให้ออริรู้สึกนับถือในคนอื่น? ความสามารถอะไรที่ออริอยากจะมี?

ความช่างสังเกตล่ะมั้งที่ทำให้รู้สึกนับถือ สิ่งที่อยากจะมีคือความกล้าที่จะมีชีวิตอยู่

 

  1. ออริชอบจดหมายไหม? หรืออาจจะเป็นอีเมลล์ หรือ ข้อความ?

สมัยก่อนชอบเขียนจดหมายแลกกันกับเคทลิน

ชอบ PM ในเว็บบอร์ด ไม่ได้ชอบอีเมล์เป็นพิเศษ

พวกข้อความแบบ sms ไม่เคยใช้

 

  1. ออริชอบอะไรระหว่างเครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟ หรืออาหารหวานๆ หรือว่าออริมีพลังและตื่นตัวตลอดเวลา

กาแฟดำ และที่จริงชอบอาหารหวาน ๆ ด้วย แค่ตอนนี้จะมีความรู้สึกขยะแขยงปนกันไป

 

  1. รสนิยมทางเพศของออริเป็นอย่างไร? อะไรที่มีเสน่ห์สำหรับออริรูปร่างหรือจิตใจ? อะไรที่ออริชอบ หรือ ต้องการหากจะผูกพันกับใครซักคน?

วางไว้คร่าว ๆ ว่าอาจจะเป็น romantic asexual แต่ก็ไม่ได้ fixed มาก ที่มีเสน่ห์จะเป็นจิตใจซึ่งน่าจะเป็นความใจกว้างกับจินตนาการ ไม่ได้มีรูปร่างที่ชอบในเชิงดึงดูดทางเพศเป็นพิเศษ ถ้าผูกพันกับใครสักคน สิ่งที่ชอบน่าจะเป็นการจับมือนะ คงต้องการจะอยู่ด้วยกันและอยู่เคียงข้าง

 

  1. อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของออริ? ออริจะสละทุกอย่างเพื่อเป้าหมายหรือไม่? อะไรคือความทะเยอทะยานของออริ?

อยากจะพบกับความสงบและอยากจะรู้สึกเหมือนสมบูรณ์แบบสักครั้ง และจะสละทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองหาวิธีที่ถูกได้เลย ก็เลยอยู่กับมันไม่ได้น่ะ

 

  1. ออรินับถือศาสนาหรือไม่? ออริคิดอย่างไรกับศาสนา? ออริคิดอย่าไงรกับผู้ที่นับถือศาสนา? ออริคิดอย่างไกับผู้ที่ไม่นับถือศาสนา

ไม่ และไม่เชื่อในโลกหลังความตาย มาตอนนี้เชื่อแล้วก็ได้ (….) แต่ก็ไม่มีศาสนา

ไม่สนใจคนอื่นที่คนที่ไม่นับถือศาสนาเพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเอง

 

  1. ออริชอบฤดูอะไรมากที่สุด? สภาพอากาศแบบไหนที่ออริชอบ? ออริรู้สึกดีกับอากาศหนาวหรือร้อน? สภาพอากาศแบบไหนที่ออริเกลียดที่สุด

ฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิ ที่จริงอาจจะรู้สึกดีกับอากาศร้อนมากกว่า แต่เกลียดเพราะต้องใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นลงแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วน

 

  1. คนอื่นมองออริของคุณเป็นอย่างไร? เหมือนกับที่ออริมองตัวเองไหม?

ไม่แน่ใจ เราเองไม่กล้าจะบรรยายว่าคนอื่นมองยังไง คิดว่าแต่ละคนคงมองไม่เหมือนกัน 55 แต่คิดว่าคงไม่เหมือนหรอก วิลเฟรดมองว่าตัวเองรกโลก

 

  1. ออริสามารถสร้างความประทับใจแรกได้หรือไม่? ออริตอบสนองต่อความประทับใจแรกจากคนอื่นได้เร็วแค่ไหน? ออริจะแนะนำตัวเองอย่างไร?

แล้วแต่อารมณ์ของวิล โดยปกติไม่เร็วเท่าไรมั้ง ที่จริงวิลเฟรดคิดว่าตัวเองค่อนข้างจืดจาง ที่อาจจะพอสร้างความประทับใจแรกกับคนอื่นในเกมได้คงเพราะมีช่วงเวลาที่ตัดสินใจพุ่งชน ก็คงขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายคาดหวังอะไรด้วย วิลเฟรดค่อนข้างจะห้วน ๆ น่ะ อาจจะสร้างความประทับใจแรกได้เพราะเผลอไม่สุภาพด้วย ปกติก็แนะนำด้วยชื่อวิลเฟรด แล้วก็บอกว่าฉันคือแซนด์ดอลลาร์ในเน็ต อะไรแบบนั้น

 

  1. ออริสามารถแสดงออกอย่างเป็นทางการได้หรือไม่? ออริคิดยังไงกับการผูกเนคไทด์สีดำ? ออริชอบงานปาร์ตี้แฟนซี และการพูดคุยจิ๊จ๊ะ หรือว่าออริเกลียดงานเลี้ยงพวกนั้น

ไม่ค่อยได้นะ ไม่ติดพูดผม/ครับ และห่างหายการปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไปจนไม่ค่อยพิจารณาเรื่องทำตัวเป็นทางการแล้ว ทำไม่ค่อยเป็นด้วย นิสัยเสียตรงไม่พยายามแล้วด้วย

คิดว่าเนคไทสีดำไม่ได้มีประโยชน์เป็นพิเศษแต่ก็โอเค ใส่ก็ทำให้อุ่นขึ้นได้แต่สู้ผ้าพันคอไม่ได้ /ไม่เกี่ยว

วิลเฟรดโอเคกับการรวมกลุ่มของคนที่มีการสนใจร่วมกัน (แบบมีตติ้งที่ไปก็นับนะ คือมุ่งจะทำอย่างเดียวกันอะไรงี้) แต่ทนการออกงานที่ไม่เกี่ยวกับความสนใจร่วมกันไม่ค่อยได้ อึดอัดมาก รวม ๆ ค่อนข้างกลัวงานแนวนั้นด้วย

 

  1. ออริชอบงานปาร์ตี้ไหม? ชอบงานแบบไหน? ออริป็นผู้จัดปาร์ตี้หรือเป็นผู้ร่วมงาน? พออริจะแสดงท่าทีอย่างไรหากว่าเขาไม่ได้อยากไปงานปาร์ตี้ แต่เพื่อนลากไป

ไม่ชอบงานปาร์ตี้เลย แต่ชอบเพลงคริสต์มาสและบรรยากาศ ก็เลยค่อนข้างโอเคกับปาร์ตี้คริสต์มาส เพียงแต่อยากมองมันจากจุดที่ห่างที่สุดจากปาร์ตี้เท่าที่เป็นไปได้

บทไม่อยากไปจะแสดงตนชัดเจนมากว่าจะไม่ไป และจะไม่ไปแน่ ๆ

 

  1. อะไรคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดของออริ? เป็นสิ่งที่มีค่ากับจิตใจของออริไหม? มีอะไรที่ออริจะพกมันไปทุกๆที่หรือไม่?

แต่ละอย่างก็ไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไรว่าอะไรมีค่ากับตัวเองบ้าง แต่อันที่จริงครอบครัวและใครก็ตามที่นับเป็นเพื่อนมีค่าสำหรับวิลเฟรด (เคทลิน เอเดน ส่วนเหล่าหมาบ้านที่จริงไม่ทันได้ตระหนักว่าตัวเองอาจนับเป็นเพื่อนพวกเขาก่อนตาย แต่หมาบ้านทุกคนมีค่าสำหรับวิลเฟรด)

วาเลนเป็นบุคคลที่มีค่ามากสำหรับวิลเฟรดแต่ไม่เคยหาคำตอบได้เลยว่าทำไม สิ่งที่มีค่ากับจิตใจของวิลเฟรดก็มีหมวกของฮานส์ที่ฮานส์เอามาเยี่ยมศพก็จะพกมันไปในฐานะวิญญาณ แล้วอีกสิ่งที่มีค่าก็ต้มหูที่เคลกับเอมิลี่เอาไป (คือมันมีค่าขึ้นมาเมื่อมีคนคิดจะเอาไปด้วย) /อ้าว มีแต่เรื่องหลังตาย

สิ่งที่ปกติพกไปทุกที่ตอนมีชีวิตอยู่น่าจะมีต้มหูที่ใส่ คัตเตอร์ ไอพอดกับหูฟังสำหรับฟังเพลงล่ะมั้ง

 

  1. หากออริของคุณจะต้องนำกระเป๋าติดตัวไปด้วยหนึ่งใบ ออริจะใส่อะไรในกระเป๋าบ้าง? และทำไมออริถึงตัดสินใจจะนำของสิ่งนั้นไปด้วย?

กระเป๋าตังค์พร้อมเงินสดจำนวนมาก (….) คัตเตอร์ ไอพอตกับหูฟัง

Posted in Writing

[WWW Fic] Before Her End

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Community:

WWWCommu

 

 

Main Character: Lana Hope Bertram

Mentioned Characters: Gavin Yū Windfield, River Mao, Farron Zehr, William Drake, Elaine Cross, Vanniel Arnon, Vladimir Alexander Blackwood III, Waller Zane, Kenneth, Simon Bertram, Fiona Bertram

Disclaimer: ตัวละครนอกเหนือจากลาน่า ไซมอน ฟิโอน่า เคนเนธและคุณนกฮูกเบอร์ตี้ล้วนไม่ใช่ของเราค่ะ

Author’s Notes: 

  • อยากอ้างอิงถึงหลาย ๆ คนที่ได้พบปะโดยไม่หลุดธีมฟิก ออกมาอย่างที่เห็นค่ะ ที่จริงอาจจะมีฟิกเพิ่ม แต่ไม่รู้จะได้เขียนรึเปล่านะคะ *ก้มหน้า*
  • สำหรับคนที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ขอบคุณที่มาเล่นด้วยกัน
  • คอมเมนต์หรือติงอะไรได้ตามสะดวกค่ะ ❤

 

 

 

_

 

 

 

Before Her End

 

 

มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยลาน่าอยู่ปีสาม เอ็ดดี้ นกฮูกแก่ ๆ ที่ได้มาจากพ่อแม่ของเธอแก่ตายในปีนั้น เป็นปีแรกที่เธอได้พบกับมิสเตอร์วินด์ฟิลด์ที่โรงนกฮูก เขาเป็นเด็กสลิธีริน แต่เธอไม่มีความทรงจำของตัวเขาที่เกี่ยวข้องกับสีเขียวเลย อาจเพราะเมื่อเธอพบเขาอีกครั้งหลังเรียนจบ เขากลืนไปกับสีดำ และมีเพียงสีผมของเขาที่โดดเด่นขึ้นมา ส่วนที่เหลือคือสีสันในร้านของเขา

บัดนี้เธอกำลังให้เบอร์ตี้ นกฮูกตัวใหม่พันธุ์ Northern white-faced ที่ซื้อมาจากฟาร์มของมิสเตอรร์วินด์ฟิลด์ส่งจดหมายออกไปเป็นครั้งแรก

 

ไซมอน—

เบอร์ตี้คือนกฮูกใหม่ของพี่

ยังไงก็ตาม ข่าวเมื่อเช้า ผู้ร่วมงาน ไฟนรก

คนนั้นที่เล่นไวโอลิน ให้ดอกไม้อะไรดี

L.

 

ลาน่ากับไซมอนรู้จักกันดี เธอรู้ว่าไซมอนรับเดลี่ฟรอเพ็ตและน่าจะเข้าใจได้โดยง่าย ลาน่าไม่ชอบเขียนจดหมายยาวนัก เธอชอบที่จะพูดอะไรทั้งหมดตัวต่อตัวมากกว่า และแม้ว่าเธอไม่ค่อยเอ่ยชื่อใครโดยตรงตั้งแต่เธอเข้าทำงานที่นี่ ไซมอนก็มักจะเชื่อมโยงได้เองว่าเธอหมายถึงใครได้ไม่ยาก บางครั้งก็ด้วยสัญลักษณ์ที่เธอเอ่ยถึง—‘คุณวิเชียรมาศคนนั้น’—หรือด้วยนามที่เธอเคยเอ่ยถึงเมื่อสมัยตั้งแต่ก่อนมาเป็นมือปราบมาร—‘รุ่นพี่เซียจากฮัฟเฟิลพัฟ’

อย่างไรก็ตาม จดหมายกลับมาเร็วกว่าที่เธอคาด

 

พี่ลาน่า

นกฮูกตาสีส้มเหรอ น่ารักจริง ถ้ามีโอกาสขอเก็บมันไว้กับฉันสักสองสามวันได้ไหม ฉันไม่ทำร้ายมันหรอกน่า (พูดจริงนะ)

จากที่พี่เคยบรรยายตัวเขา ดอกไอริสไหม สำหรับความหวังเป็นหลัก ส่วนที่เหลือความศรัทธา ความกล้าหาญ ความชื่นชม—แฝงนัยให้เขาหายดี สุดแล้วแต่พี่

ไซมอน

 

หลังจากนั้นเธอก็ไปเยี่ยมมิสเตอร์เซียและเลือกสรรดอกไอริสไปให้ตามคำแนะนำ เมื่อพินิจมองดอกไม้ที่นำมาให้อีกที ก็คิดว่ามันเหมาะสมกับมิสเตอร์เซียโดยแท้จริง ทั้งที่จริงเธอเป็นคนที่แทบไม่ได้จดจำอะไรที่ฮอกวอตส์เท่าไร (—เธอไม่มีความจำเป็นต้องมีเพื่อน ออกจากโรงเรียนก็ต้องแยกย้ายกันไปเป็นเรื่องปกติ คงมีเพียงไม่กี่คนที่พอจะสื่อถึงกันจนอาจเรียกว่าเป็นเพื่อนได้ แวนนีลเอย เอเลนเอย นอกนั้นเธอปล่อยให้มันกลืนหายไปกับภาพพื้นหลัง แล้วค่อยระบายสีใหม่เมื่อสบโอกาส อย่างรุ่นพี่รุ่นน้องนี่นับเป็นเพื่อนได้ไหมนั้นเธอไม่เคยคิดสรุปให้เสร็จสิ้น—) แต่เหตุการณ์ที่ได้พบคุณเซียครั้งแรกเมื่อสมัยอยู่ปีสี่ (—อ้อ ใช่ แต่เธอรู้จักเพื่อนของมิสเตอร์เซียเมื่อสมัยอยู่ปีสาม ตอนที่เพิ่งวาดรูปเคนเนธเสร็จไม่นาน – อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนปีสาม—) ที่สวนนั่นมีเสียงไวโอลิน มีถ้อยคำสนทนา – ตัวตนของเธอที่ผ่อนคลายกว่าปกติ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของมิสเตอร์เซียที่ใกล้เคียงกับเสียงกระซิบ

‘จริง ๆ แล้วไวโอลินตัวนี้มีพลังพิเศษด้วยนะ… เขาบอกว่าใครที่ได้ฟังเสียงไวโอลินตัวนี้จะหลงเสน่ห์คนเล่นล่ะ’

‘ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วจะเกิดปัญหาอะไรบ้างหรือคะ’

ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ ‘ล้อเล่นน่ะ จริง ๆ แล้วมันแค่ช่วยให้คนฟังผ่อนคลาย หลงเสน่ห์อะไรนั่นไม่มีหรอก’

‘ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจริงไหม แต่เวลาได้ฟังเสียงมันก็มักจะสงบจิตใจได้ตลอดเลย’

‘ฉันเองก็คิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องจริงนะคะ เพราะรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ว่าตั้งแต่ก่อนที่จะได้ยินเรื่องพลังพิเศษนั่นแล้ว ฉันเชื่อในเรื่องที่ผู้วิเศษเก็บของอะไรไว้ แล้วอาจจะพลังวิเศษแบบโบราณส่งผ่านไปถึงมันได้’

เมื่อคิดถึงตรงนั้น เธอก็คำนึงได้ว่า นั่นคือหนึ่งในสิ่งที่เธอปรารถนาจะสร้างมาตลอด สิ่งประดิษฐ์วิเศษ แค่เวลานั้นดูมีน้อยเกินไป กระทั่งสำหรับผู้วิเศษที่สามารถใช้ศิลาอาถรรพ์ได้ เธอพบว่าเธออยากเป็นอมตะ แต่ไม่ต้องการที่จะเป็นผี—รู้ตัวอีกที ก็คงจะเตรียมใจเรื่องการเสี่ยงชีวิตเรียบร้อยตั้งแต่ตอนที่เปิดประตูไปเยี่ยมมิสเตอร์เซียแล้ว

เธอพบมิสเตอร์เดรคที่นั่นด้วย เธอไม่ได้จดจำมากนักว่าเธอพูดอะไรบ้าง แต่เธอแน่ใจว่าเธอบอกความหมายคร่าว ๆ ของดอกไอริสกับมิสเตอร์เซียผู้ยังจมอยู่ในความหลับใหล โดยให้มิสเตอร์เดรคร่วมฟังไปด้วย… เธอไม่แน่ใจว่าเธอได้พูดรึเปล่าว่าอันที่จริงแล้ว ไวโอลินนั่นก็ทำให้หลงเสน่ห์คนเล่นด้วยจริง ๆ – อย่างน้อยมันก็เกิดขึ้นกับเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ให้ตัวเองคิดอะไรเรื่องนี้ต่อ เธอได้ยินตัวเองพูดกับมิสเตอร์เดรคว่า เธอเคยได้ยินคำกล่าวของวลาดิเมียร์ เลนิน ผู้นำนักปฏิวัติคนหนึ่งของมักเกิ้ลว่า หากเขาฟังเพลง Appassionata ของเบโธเฟนไปเรื่อย ๆ เขาคงไม่อาจปฏิวัติให้เสร็จสิ้นได้

มันดูเป็นจังหวะที่ควรพูดถึง

ในส่วนลึกของเธอ เธออยากเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติไหม ก็อาจจะใช่ คตินิยมของจอมมารที่คนเคยกล่าวถึงเมื่อกาลก่อนดูจะไม่ตรงกับคตินิยมของเธอเอง แต่เธอเข้าใจความคิดของผู้คนที่อยากเปลี่ยนโลก ทางเดียวที่จะเปลี่ยนอะไรได้มีเพียงแค่ต้องผ่านเวทมนตร์เท่านั้น เธอเชื่อเช่นนั้น กระนั้นแล้ว จากผู้คนทั้งหมด คนที่บาดเจ็บในวันนั้นคือมิสเตอร์เซีย คนที่อันที่จริงแล้ว—อาจเป็นคนเดียวในสำนักงานใหญ่ที่มีเวทมนตร์—อนึ่งดนตรี—ที่อาจทำให้เธอหยุดความกบฏในตัวเองได้ มันช่างเป็นแรงปลุกที่ทำให้อยากกบฏน้อยลงอย่างประหลาด ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าหากเผชิญหน้ากับผู้เสพความตาย เธอต้องการอะไร

สำหรับลาน่า เรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่งของการปราบมารคือ การเตรียมใจเสี่ยงชีวิต ทว่าทุกครั้งที่ทำการเตรียมใจนั้น ก็เสมอเหมือนเพิ่งเคยเตรียมใจเป็นครั้งแรก

_

หลังจากเยี่ยมมิสเตอร์เซียเสร็จเรียบร้อย เธอก็ส่งจดหมายอีกฉบับไปให้น้องชาย แจ้งว่าเธอมีเหตุจะต้องไปเสี่ยงอยู่สักหน่อยในคืนพรุ่งนี้ โดยที่ไม่แน่ใจว่าจะลากยาวเพียงใด จึงมีความต้องการให้เขาช่วยดูแลเบอร์ตี้สักสองสามวัน เธอรู้มาตลอดว่าไซมอนชอบนกฮูก… จดหมายนกฮูกคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโลกพ่อมดแม่มดไม่กี่อย่างที่สควิบเยี่ยงเขาจะสามารถหยั่งรู้ได้โดยแท้จริง (—ก็ตอนปีสามอีกเช่นกันใช่ไหมที่เธอปล่อยให้น้องชายแห้งกรังในฐานะสควิบอยู่ที่บ้าน—) ส่วนกับฟิโอน่า เธอใช้เวลาคุยผ่านเตาผิงด้วยอยู่พักใหญ่

หลังจากนั้น เธอก็สละเวลาไปดูดาวและคุยกับเคนเนธ ช่วงไม่กี่เดือนให้หลังมานี่ เธอดูดาวบ่อย เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอก็ได้พินิจมองดาวพร้อมมิสเตอร์แบล็ควู้ด ส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลจากไซมอนกับความสนใจของเขาในเรื่องโลกคู่ขนาน สมัยเรียนเธอไม่เคยมีความสนใจในเรื่องพยากรณ์ศาสตร์ แต่เมื่อไม่นานมานี่—ในจังหวะที่กำลังจิบกาแฟแก้วหนึ่งและชวนคุณวิเชียรมาศคุย—เธอคิดขึ้นมาว่า เรื่องที่ผู้วิเศษมีพลังที่จะรู้อนาคตนั้นน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะมันเป็นพลังที่เชื่อมโยงกับกาลเวลา และกาลเวลาอาจเป็นเพียงไม่กี่อย่างในหมู่มวลเอกภพที่เธอเชื่อว่าเป็นนิรันดร์ เธอได้คุยเรื่องพยากรณ์ศาสตร์กับมิสเตอร์เซนอีกคนหนึ่งด้วย – บางอย่างเกี่ยวกับเขาทำให้เธอนึกถึงยูนิคอร์น—นิสัยเปรียบคนกับสัตว์นั้นเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไรกัน เธอจำไม่ได้แล้ว

เธอหวนนึกถึงคำพูดของคุณวิเชียรมาศเมื่อไม่กี่วันก่อน—‘ตาน้ำประเภทไหนที่คุณสนใจหรือครับ ลาน่า’

‘เลือดและร่างกายก็ส่วนหนึ่งนะคะ มักเกิ้ลบอร์นบางส่วนก็มาจากบรรพบุรุษที่เป็นสควิบ สิ่งที่วนกลับมา รวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ ปรุงยา แปลงร่าง’

‘เหมือนตาน้ำ และเหมือนสายน้ำหรือเปล่าครับ สุดท้ายก็ลงมาบรรจบกัน… เขาว่ากันว่าผู้ที่ชอบในศาสตร์แปลงร่างมักมีร่างที่โปรดปรานเป็นพิเศษ’

ตาน้ำที่เธอพูดถึงในตอนนั้น บางทีเธออาจลืมรวมสิ่งหนึ่งเข้าไป – กาลเวลา เวทมนตร์กับกาลเวลาเป็นของคู่กัน เทียบมักเกิ้ลกับผู้วิเศษแล้ว ผู้วิเศษมิใช่หรือที่มีอายุขัยยืนยาวกว่า และสิ่งที่คงอยู่ได้ด้วยเวทมนตร์น่ะ—

เธอหันไปกระดาษและสีสันบนกระดาษที่ถูกรักษาไว้ด้วยเวทมนตร์ข้างกาย ปีกแมลงปอขยับไหวอย่างสงสัยกับสายตาของเธอ

“ทวนหน่อยนะ” เธอเอ่ย

“ถ้าระหว่างลาน่าต่อสู้ห้ามขัด ห้ามส่งเสียง ห้ามออกมาให้ศัตรูเห็นต่อให้ลาน่าตายไปแล้ว” เคนเนธว่า พลางผงกหัวหงึก

“อืม”

“ลาน่าจะตายเหรอ”

“ยังไงพวกเราทุกคนก็ต้องตายอยู่แล้ว” ในจังหวะนั้นเธอสามารถเลือกต่อยอดบทสนทนาได้ เธอสามารถเลือกพูดว่าเว้นเสียแต่เราจะมีศิลาอาถรรพ์หรือหินชุบวิญญาณหรืออะไรอื่น ทว่าเธอเลือกที่จะไม่พูด

คืนนั้นเธอเปลี่ยนร่างเป็นกระรอก พาเคนเนธขึ้นไปอยู่ด้วยกันในแมกไม้ หลับใหลอย่างเต็มอิ่มจนถึงเช้า

_

เช้าวันที่ 7 มีนาคม

นกฮูกวัยสามขวบที่มีดวงตาสีส้มสดใสบินตามหาเจ้านายของมันอยู่ทั้งวัน ที่ขามีม้วนจดหมายจากไซมอนผูกติดอยู่ จ่าหน้าซองถึงลาน่า เมื่อมันหาไม่ผู้เป็นนายพบ จึงบินกลับไปหาไซมอนอีกครั้ง

 

 

 

The End.

Posted in Gallery

[RP] Side Story 6: Here and there (Gallery)

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ

.

.

.

0915_shirley

เชอร์ลีย์สมัยเด็ก ตอนขึ้นฝั่ง

.

gaius3

ไกอัสแห่งบลูไวเปอร์

.

kamil_shirley

เชอร์ลีย์กับคามิลเลียส (sub-character) เมื่อสมัยก่อน

.

0924_brown_daiong

บราวน์ นายช่างใหญ่

.

xavi_i

ไอริลกับซาวี่ที่เกรสติโอ้ พอร์ท

.

shirly_child

เชอร์ลีย์สมัยเด็ก ตอนอยู่บนเรือ เหมือนจะน้อยใจพ่อเลี้ยงนิดหน่อย

Posted in Gallery

[RP] Side Story 5: More gallery

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ

.

.

.

shirley6

เชอร์ลีย์ ช่วงอยู่เรือพาณิชย์

.

shirley_C2

Shirley สาย C

.

main_event_shirley5

หยิบชุดดี ๆ ขึ้นมาลองใส่ในวันหนึ่ง… (ก่อนเหตุการณ์บลูโรส)

.

kamil_shirley2

เชอร์ลีย์กับกัปตันเก่า

.

main_event_shirley3

ลองชุดอีกชุด

.

xavi_daiong

ซาวี่

Posted in Writing

[RP] Side story 4: บันทึกเก่า

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ

Notes:

  • สิ่งที่เชอร์ลีย์เคยเขียนเกี่ยวกับกัปตันคนเก่า บางคนอาจจะคุ้นผลงานพวกนี้จาก page ของจขฟช.  จริง ๆ แล้วที่คัดมาก็คือสิ่งที่เขียนตอนได้แรงบันดาลใจมาจากแถว ๆ เชอร์ลีย์นั่นเอง
  • เป็นการรวบรวม drabble สั้น ๆ  อาจดูไม่ปะติดปะต่อกันเป็นพิเศษ T – T”

Word count: 1,045

.

.

.

ข้าหลงรักบุรุษผมแดงยาว เขาเป็นเสมือนลูกคิดสำหรับจิตคณิต ส่วนข้าเป็นเพียงคนอวดดีที่อยากเป็นภาพในล็อคเก็ตหากเขาเป็นล็อคเก็ต และอยากเป็นลูกบิดประตูหากเขาเป็นธรณีประตู ข้าอยากเป็นผู้ที่พร้อมที่จะสละดวงตาและแขนขาให้ทันทีที่เขาเอ่ยปากเพียงคำเดียว

เขาจะรับรู้ขอบเขตการปกป้องของข้า

ความลับเล็ก ๆ ของเราคือการไม่มีความลับต่อกัน

_

ข้าได้ยินเสียงหัวใจของท่าน ที่ตรงนี้

ท่านผู้เป็นดวงใจของข้า ท่านผู้เป็นพู่กันของสี เป็นสีของผ้าใบ เป็นผ้าใบของศิลปิน เป็นศิลปินของภาพวาด เป็นภาพวาดของความสุข เป็นความสุขของศิลปะ และเป็นชีวิตของข้า

_

Dear Sir,

I offer you the two greatest human emotions: love and fear. For I have loved you for long, and I have great fear of losing you. This fear, however, urges me run faster to you, Sir. Why reject Fear? As before the face of Fear, I can fly to you without looking back. It gives me the power and control.

Forever Yours,

S.

_

ถึง: เจ้ามักจะกอดข้าแน่นเกินไป จุมพิตข้าเบาเกินไป บอกรักข้าบ่อยเกินไป

ข้อความ: ข้าชอบตาตุ่มที่ข้อเท้าของท่าน และรอยบุ๋มใต้ลำคอที่อยู่ระหว่างไหปลาร้าของท่าน

จาก: ข้ามองตาท่านครั้งแรก เมื่อห้าปีที่แล้ว

_

ท่านผู้เป็นที่รัก

พวกเราจูบกันน้อยครั้ง และหลายครั้งในน้อยครั้งเหล่านั้น พวกเราก็จูบกันอย่างอ่อนเบา ก่อนที่ข้าจะจับมือท่านขึ้นมาจูบข้อนิ้ว ปลายจมูกของพวกเรามักจะสัมผัสกัน แล้วอยู่แบบนั้นนิ่งนานในที่ที่ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน

ครั้นพวกเราสามารถอยู่ด้วยกันได้ในที่ที่ไม่จำเป็นต้องหลีกหนีสายตาใคร ท่านก็ถูกคลื่นพายุพรากไปเสียอย่างนั้น

_

ท่านคามิลเลียสที่รัก

ดิเอลโลเรียช่างแห้งแล้งเสียเหลือเกิน ข้านึกสงสัยว่าท่านจะมีวันมาที่ทะเลทรายนี่กับข้าไหม ด้วยท่านดูมีพลังที่สุดเมื่ออยู่กับน้ำและความชุ่มชื้น – ในยามที่ท่านอยู่กับสายฝนและคลื่นมหาสมุทร ท่ามกลางไอน้ำในอ่างน้ำร้อน หรือละอองทะเลจากกราบเรือยามเช้าที่พวกเราอยู่ด้วยกัน ท่านมักจะดูเหมือนบุตรแห่งห้วงสมุทร หากได้เห็นท่านท่ามกลางผืนทรายนี่คงแปลกตาน่าดู

น่าเสียดายที่บัดนี้ข้าไม่อาจอยู่เคียงข้างเพื่อบอกราตรีสวัสดิ์ท่านทุกคืน และจุมพิตอรุณสวัสดิ์กับท่านทุกเช้าได้

ข้าอยากตามท่านไป

ด้วยรัก

เชอร์ลีย์

_

นายท่านที่รัก—

ข้าคิดถึงลมหายใจของท่านที่ปลายจมูกของข้า หากธรรมชาติผู้เป็นมารดาแห่งมวลมนุษย์มิได้พรากท่านไปจากข้า เราอาจได้ใช้เวลาในฤดูเหมันต์นี้ด้วยกัน หากมีใครทำนายว่าข้าจะตายในฤดูนี้ ข้าคงเชื่อเขา มีความเป็นไปได้ว่าความตรอมตรมอาจฆ่าข้าได้… กระนั้นข้าก็อาการดีพอที่จะมาเขียนสิ่งนี้แล้ว

ท่านจำได้ไหมเมื่อครั้งที่เรานอนเคียงข้างกัน แล้วท่านบอกว่าภรรยาของท่านตั้งครรภ์ ในคืนนั้นข้าเกือบกลับไปหาฝิ่น ข้านึกถึงฝิ่นก่อนกัญชา ด้วยฤทธิ์ของฝิ่นปลอบโยนความเศร้าได้ดีกว่ากัญชา กัญชาเหมาะกับความโกรธ แต่แล้วท่านก็จับข้าได้คาหนังคาเขา แล้วไม่อนุญาตให้ข้าได้สร้างสรรค์อารมณ์ของตัวเองด้วยสารเย้ายวนเหล่านั้น ทว่าในที่สุดแล้ว ภริยาของท่านกลับจากไปพร้อมลูกเมื่อถึงกาลคลอด ข้าจำสีหน้าท่านยามมาบอกข่าวร้ายนั้นกับข้าได้ ดวงหน้าท่านดูซีดขาวอย่างเห็นได้ชัดแม้ในแสงสลัว

กระนั้นแม้ถึงกาลที่ท่านจะมิใช่ของนางในนาม ท่านก็ยังมิใช่ของข้า มิมีบาทหลวงคนใดให้ข้าสาบานความรักของตนที่มีต่อท่านได้ และข้ามิแน่ใจว่าจะมีเทพองค์ใดเข้าข้างข้า ท่านผู้เป็นที่รัก โปรดนึกภาพตัวท่านและข้าในอาภรณ์สีขาว และแหวนบนนิ้วนางที่เราสวมมอบให้กัน หากข้าสามารถมอบสิ่งเหล่านั้น—มิใช่ในฐานะบุรุษคนหนึ่ง หากเป็นในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง—โดยไม่ต้องทำลายฐานะและครอบครัวของท่านลงก็คงจะดีใช่น้อย บางทีหากเราอยู่ที่อื่นที่ไกลออกไปในมวลดาว พวกเราอาจรักกันโดยไม่ต้องหลบซ่อนเช่นนี้ได้

ข้าบอกว่าข้าจะรักท่านตราบสิ้นลมหายใจ แล้วเหตุใดลมหายใจท่านจึงสิ้นสุดไปก่อนเสียเล่า ดวงใจของข้า

_

Master,

Do you know that feeling which resembles sandpaper? I couldn’t quite explain. It’s rough and dry. If you drag your hand too quickly over it, it’ll burn your skin.

—Where was I going with this? Never mind. I’m speaking gibberish, but there is really no one else I’d rather talk to. I love you most.

_

เจ้ามีความฝันมายาวนาน มีความสุขมายาวนาน เชื่อในความสุขมายาวนาน ในที่สุดเจ้าก็เลือกที่จะทิ้งทั้งหมดในผืนทะเลทรายแห่งดิเอลโลเรีย แล้วเจ้าก็ลืมไปสิ้นว่า—นั่นสิ เจ้าลืมอะไรไปนะ เจ้าตอบตัวเองมิได้เสียแล้ว เจ้ารู้เพียงว่า การมองความสุขเป็นเป้าหมายนั้นคือความผิดพลาด ด้วยรู้ดีว่าการที่ครั้งหนึ่งเคยมี แล้วเสียไป แล้วหวังจะได้มันอีกนั้น… ทำให้เจ้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ใครว่าความตรอมใจฆ่าใครไม่ได้ มันเกือบฆ่าเจ้า และถึงเจ้าจะไม่สนหากตัวเองจะตายไป เจ้าก็ยังไม่อยากตายหรอก

เจ้าคิดขึ้นมาได้ว่า ทะเลอาจมีอะไรมาเสนอให้เจ้าได้อีก

_

M’dear,

The rain won’t last, they said.

Keep silence and stay strong, they said.

What is strength, and what lasts, anyway?

Love,

Yours.

.

.

.

The End.

Posted in Gallery

[RP] Side story 3: คนอื่น ๆ

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ

.

.

.

0601_kamilius

คามิลเลียส กัปตันเรือเก่าของเชอร์ลีย์

.

0609_shirley_euile_daiong

ยูลกับเชิร์ล สมัยอยู่ซ่อง

.

brown_daiong

หมีบราวน์ นายช่างใหญ่แห่งดูมดอว์น

.

brown_euile_daiong

บราวน์กับยูล สาย C

.

euile_daiong

ยูล

.

kamil

คามิลเลียส ล่าสุดกลับมาดิเอลโลเรียแล้ว